กทม. 21 ส.ค.- “นฤมล”คาดสถานการณ์เงินบาทอ่อนตามค่าเงินหยวน แนะประคองลูกหนี้รายย่อยหนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ได้โพสต์ Facebook ส่วนตัวสะท้อนมุมมองถึงค่าเงินหยวนที่อ่อนตัวลงต่ำสุดในรอบ 2 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากการการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางจีนจาก 2.1% เหลือ 2.0% โดยเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกตั้งแต่มกราคม 2565 เพราะแรงกดดันจากสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังมาตรการล็อคดาวน์ที่ไม่เป็นไปตามคาด เช่น รายได้ของอุตสาหกรรมค้าปลีกเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นเพียง 2.7% ต่ำกว่าเดือนมิถุนายนที่เพิ่มขึ้นเท่ากับ 3.1% และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 5% ที่หนักคือภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีสัดส่วนถึง 30% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ( GDP) ในจีน ปรากฎว่าการลงทุนของผู้ประกอบการลดลง 6.4%ในรอบ 7 เดือนแรกของปีนี้ และราคาบ้านใหม่ใน 70 เมืองยังลดลงมา 11 เดือนต่อเนื่องอีกด้วย
นอกจากนี้ การเติบโตของสินเชื่อในระบบมีสัญญาณชะลอตัว ธนาคารกลางจีนจึงต้องลดดอกเบี้ยเพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินให้กับภาคธุรกิจและรายย่อย และจะช่วยให้รัฐบาลท้องถิ่นของจีนสามารถออกพันธบัตรระดมทุนเพื่อนำไปลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในท้องถิ่นได้ง่ายขึ้นด้วย
การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางจีนสวนทางกับธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่ขึ้นดอกเบี้ยมาหลายรอบ ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของจีนและสหรัฐถ่างออกไปอีก ค่าเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐจึงลดลงเหลือ 6.8171 หยวนต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งถือว่าแตะระดับต่ำสุดเทียบตั้งแต่กันยายน 2563 เดือนหน้าคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% จึงคาดกันว่า ค่าเงินหยวนจะลดต่ำลงไปอีกจนอาจจะถึง 7 หยวนต่อดอลลาร์ฯ ในไตรมาสแรกของปีหน้า
เมื่อหันกลับมามองถึงแนวโน้มค่าเงินบาทจะพบว่ามีการอ่อนค่าลงในทิศทางเดียวกับสกุลเงินเอเซียส่วนใหญ่ที่อ่อนค่าลงตามเงินหยวน และตามตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย ไตรมาส 2 ที่ออกมาเพียง 2.5% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตามค่าเงินบาทที่อ่อนลงจะส่งผลดีกับภาคการส่งออก ส่วนสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 2 ปี 2565 ยังขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 6.3 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน
ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพิ่งเปิดเผยผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2 ปี 2565 ว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีความเข้มแข็ง โดยมีเงินกองทุน เงินสำรองและสภาพคล่องอยู่ในระดับสูงสามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะถัดไป ที่ต้องเฝ้าระวัง คือ คุณภาพสินเชื่อของผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อมหรือ SMEs และลูกหนี้รายย่อย ที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัว แต่ต้องมาได้รับผลกระทบจากต้นทุนและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ภาครัฐ ธนาคารรัฐ และธนาคารพาณิชย์ ต่างร่วมมือกันประคองลูกหนี้กลุ่มนี้ ผ่านการคงมาตราการที่ทำอยู่ และอาจจำเป็นต้องออกมาตรการเพิ่มเฉพาะจุด เพื่อผ่อนปรนให้ SMEs และรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ช่วยต่อลมหายใจในช่วงพยายามฟื้นตัวนี้ไปให้ได้ ซึ่งอาจจะเป็นมาตรการการค้ำประกันสินเชื่อแบบยืดหยุ่นพิเศษเฉพาะอุตสาหกรรมที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
“ส่วนหนึ่งของผลกระทบจากค่าเงินหยวนที่เป็นลักษณะดังกล่าว จึงหวังว่ารัฐบาลจะมองอย่างเข้าใจและหาทางแก้ไขอย่างตรงจุด จึงขอเป็นกำลังใจ” นางนฤมล กล่าว.-สำนักข่าวไทย