ทำเนียบรัฐบาล 23 มี.ค.-“อนุทิน” ระ บุสธ.พร้อมหนุน สตม.ตั้งโรงพยาบาลสนามที่สโมสรตำรวจ รองรับผู้ติดเชื้อจากการลักลอบเข้าเมือง ขออย่ากังวล ยึดความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก ยืนยันคุมสถานการณ์ได้ ไม่ใช่ระบาดระลอก 3
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามที่สโมสรตำรวจ ว่า ทราบเรื่องแล้ว โดยได้รับการประสานงานจากพล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) ซึ่งการตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ที่ติดเชื้อจากการลักลอบเข้าเมืองมาและอยู่ภายใต้การควบคุมและเตรียมการบริหารจัดการอย่างดี ทางตำรวจก็มีแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจดูแลอยู่แล้ว แต่หากร้องขออะไรเพิ่มเติม ทางกระทรวงสาธารณสุขพร้อมให้การสนับสนุน ขณะเดียวกันได้ให้คำแนะนำแนวทางต่าง ๆ ว่าควรจะปฏิบัติกับผู้ที่เข้ามารักษาในโรงพยาบาลสนามอย่างไร
“จากตัวเลขที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากในศูนย์กักกัน ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ แต่ตราบใดที่สามารถค้นหาผู้ติดเชื้อได้และนำตัวเข้ามารักษา ถือเป็นการควบคุมโรคที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งคนเหล่านี้เป็นคนในวัยทำงานและมีอายุไม่มาก เมื่อไม่แสดงอาการก็ไม่ต้องให้ยารักษา และเมื่อครบเวลา 10 จะหายเอง ซึ่งเป็นธรรมดาของโรคโควิด-19 เมื่อถึงเวลาจะหายก็สามารถหายได้เอง ไม่อยากให้มองถึงจำนวนยอดรวมของผู้ติดเชื้อ แต่ให้ดูว่าการกระจายไปอยู่นอกเหนือการควบคุมหรือไม่ ซึ่งตอนนี้ไม่มี กระจาย แต่เป็นการติดเชื้อเฉพาะกลุ่มหรือคลัสเตอร์ ที่ระบบควบคุมสามารถไปดูแลได้ ยืนยันว่าขณะนี้ไม่ใช่การแพร่ระบาดในระลอกที่ 3” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว
ส่วนต้องทำความเข้าใจกับชุมชนโดยรอบสโมสรตำรวจที่ใช้เป็นสถานที่ตั้งโรงพยาบาลสนามหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า โรงพยาบาลสนามตั้งอยู่ในสโมสรตำรวจ ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิด บริเวณใกล้เคียงไม่มีชุมชน ขออย่ากังวล การตั้งโรงพยาบาลสนามต้องรักษาระยะห่างกับชุมชน อาจจะเป็นกี่ร้อยเมตรหรือเป็นกิโลเมตร เช่นเดียวกับการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลที่ต้องเว้นระยะห่าง 1.5 เมตร และส่วนใหญ่คนที่เข้าไปในโรงพยาบาลสนามคือผู้ที่ไม่แสดงอาการ เพราะถ้าเป็นผู้ติดเชื้อที่มีอาการจะเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลหลัก เพื่อให้การรักษาตามขั้นตอนทางการแพทย์ ขอให้สบายใจ กรมควบคุมโรคดูแลเรื่องนี้ตลอด และต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลักสำคัญที่สุด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธาณสุข กล่าวถึงกรณีองค์การเภสัชกรรมพัฒนาวิจัยวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดเชื้อตายได้ ซึ่งถือเป็นการพัฒนาโดยคนไทย ว่า เป็นการพัฒนาร่วมกับสถาบันการแพทย์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรมรายงานว่าเป็นการพัฒนาจากเชื้อตายและใช้ไข่ไก่สด ซึ่งทางองค์การเภสัชกรรมมีโรงงานผลิตวัคซีน จึงนำมาวิจัยและพัฒนา โดยการใช้ทุนขององค์การเภสัชกรรมเอง และวันนี้ได้ฉีดวัคซีนให้กับอาสาสมัครกว่า 100 คน
“กว่าจะมาถึงขั้นตอนนี้ได้ต้องผ่านขั้นตอนตามมาตรฐาน และถ้าทำตรงนี้สำเร็จจะมีวัคซีนของประเทศไทยและมีคนไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยี เบื้องต้นผลิตได้ 30 ล้านโดสต่อปี แต่ในอนาคตกำลังการผลิตอาจจะขยายเพิ่มขึ้นได้อีก วันนี้ขอให้มั่นใจว่าเรื่องวัคซีนไม่ใช่ประเด็นปัญหา แต่ตอนนี้ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะเปิดประเทศได้ และต้องกระจายวัคซีนไปยังเมืองท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น ภูเก็ต สมุย เรื่องวัคซีนขณะนี้เป็นไปตามแผนและกำหนดการที่วางไว้ ไม่มีอะไรล่าช้า ทุกอย่างสอดคล้องตามสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ถ้าในอนาคตวัคซีนขององค์การเภสัชกรรมสำเร็จ อาจจะมาเสนอให้ภาครัฐพิจารณาให้การสนับสนุนต่อไป” นายอนุทิน กล่าว.-สำนักข่าวไทย