สธ.12 มี.ค.-“หมอทวี” ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ย้ำไทยยังชะลอการฉีด วัคซีนแอสตราเซเนกา ออกไปก่อนได้ เพื่อรอผลสอบสวนที่แน่ชัด เนื่องจากสถานการณ์โควิดในไทย ตอนนี้ไม่ได้รุนแรง พร้อมแจงความเสี่ยงอาการเกิดลิ่มเลือดอุดตันจากการฉีดวัคซีน มีโอกาสเกิดขึ้นกับชาวเอเชียและคนไทยน้อยมาก
ในการแถลงสถานการณ์โควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุข รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เปิดเผยถึงประเด็นการชะลอฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา หลังมีรายงานจากประเทศฝั่งยุโรป พบผู้ฉีดวัคซีนมีอาการข้างเคียง ลิ่มลือดอุดตัน ในหลอดเลือดดำ 22 ราย ว่าอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่ต้องเร่งทำการสอบสวนให้กระจ่างชัด ทำให้หลายประเทศทางแถบยุโรป รวมถึงประเทศไทย ชะลอการฉีดวัคซีนตัวนี้ออกไปก่อน แต่ในขณะเดียวกันล่าสุดก็มี 2 ประเทศ คือ แคนาดา และ ออสเตรเลีย ที่ยังคงเดินหน้าฉีดวัคซีนตัวนี้ต่อ
สำหรับโรคลิ่มเลือดอุดตัน ส่วนใหญ่พบในกลุ่มผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์ด้วย หากเป็นฝรั่ง และแอฟริกัน ในประเทศฝั่งยุโรป จะมีโอกาสป่วยด้วยโรคดังกล่าวได้มากกว่าชาวเอเชีย 3-5 เท่า อีกทั้งยังมีปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโรคประจำตัวด้วย เช่น โรคเบาหวาน เพราะมันทำให้เส้นเลือดฝอยมีการเปลี่ยนแปลง เลือดไหลไม่คล่องตัว ทำให้มีโอกาสลิ่มเลือดไปจับได้ รวมถึง โรคหัวใจ ความดัน มะเร็ง และหญิงตั้งครรภ์ จึงขอให้ทุกคนสบายใจได้ เพราะมีความเสี่ยงน้อยที่จะเกิดขึ้นกับคนไทย จากการสอบถามศัลยแพทย์ในไทยก็ยืนยันว่าพบโรคนี้ค่อนข้างน้อยมาก
เมื่อดูค่าเฉลี่ยของอาการไม่พึงประสงค์ กรณีเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ในผู้รับการฉีดวัคซีนทั้ง 22 รายในแถบประเทศยุโรป จากการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาไปแล้วราว 3 ล้านโดส พบว่ามีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 7.3 รายต่อ 1 ล้านโดสต่อ1เดือน แต่โดยปกติโรคลิ่มเลือดอุดตันในแถบประเทศยุโรป จะพบป่วยด้วยโรคนี้มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1 พันรายต่อล้านคนต่อปี เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว จะพบว่าการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ที่มีสาเหตุมาจากการฉีดวัคซีน มีอัตราเกิดขึ้นต่ำกว่าอัตราป่วยปกติกว่า 10 เท่าตัว
ทั้งนี้ จึงยังต้องรอการสอบสวนโรคจากฝั่งยุโรปให้เกิดความกระจ่างชัดก่อน เบื้องต้นขอเดาว่าใน 22 รายที่พบอาการไม่พึงประสงค์ น่าจะเกิดในกลุ่มผู้สูงอายุ เพราะมีความเสี่ยงสูง แต่หากผลสอบสวนออกว่าเกิดในกลุ่มวัยหนุ่มสาว กรณีนี้ค่อยน่ากังวล
สำหรับประเทศไทย ควรชะลอการฉีดออกไปก่อน เพื่อความมั่นใจของทุกคน เนื่องจากสถานการณ์ในภาพรวมของไทยยังรอได้ ไม่ได้มีระบาดรุนแรงเหมือนช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งวัคซีนแอสตราเซเนกาของไทย ก็เป็นลอตที่นำเข้ามาจากเกาหลีใต้ ขอให้ประชาชนวางใจได้ และเมื่อไหร่ที่อนุญาตให้ฉีดได้ ตนจะเข้ารับการฉีดทันทีเพราะมั่นใจในความปลอดภัยของวัคซีนตัวนี้
ส่วนข้อกังวล เรื่องเชื้อไวรัสโควิดกลายพันธุ์ ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แพทย์ไทยในหลายสถาบัน มีการนำเชื้อไวรัสโควิดไปถอดรหัส พบว่ายังคงเป็นเชื้อดั้งเดิมอยู่ ซึ่งยากรักษาที่เรามีก็ยังใช้รักษาได้
สำหรับแอสตราเซเนกา พอจะช่วยได้กรณีไวรัสเกิดการกลายพันธุ์ แต่ไม่100% ส่วนวัคซีนซิโนแวค ที่ผลิตด้วยเชื้อตาย คาดว่าจะสู้กับไวรัสกลายพันธุ์ได้ดีพอสมควร แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
ขณะที่ นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 5 กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ว่าในภาพรวมเริ่มคลี่คลายและดีขึ้นเป็นลำดับ อย่างเมื่อวานพบมีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 35 คน ส่วนใหญ่เจอจากการค้นหาเชิงรุก ทั้งนี้ทั้งพื้นที่เขตสุขภาพที่ 5 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 8 จังหวัด ผู้ป่วยยืนยันสะสม 17,064 คน แบ่งเป็นชาวไทย 3,351 คน และชาวเมียนมา 13,675 คน ในจำนวนนี้รักษาหายแล้ว 16,737 คน เสียชีวิต 8 คน สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ ตอนนี้ยังเจอที่สมุทรสาคร เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ อย่างประจวบคีรีขันธ์ เป็นชาวเมียนมาที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ส่วน ราชบุรี ติดมาจากจังหวัดข้างเคียง จากนี้ยังต้องทำการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นต่อไป
ส่วนกรณีพนักงานโรงงานพื้นที่สมุทรสาคร ไปร่วมชุมนุม โดยมาตรการปกติ คนที่มาจากพื้นที่เสี่ยงไม่ควรไปร่วมกิจกรรมเหล่านี้ เบื้องต้นคาดว่าคนที่เข้าร่วมการชุมนุม ส่วนใหญ่มีความเสี่ยงต่ำ ถ้ามีการสวนหน้ากากอนามัย แต่เพราะไปร่วมชุมนุมในพื้นที่เปิดโล่ง อากาศถ่ายเทได้ดี ผู้ร่วมชุมนุมจึงไม่ต้องกังวลมาก แต่ถ้ากังวลมากก็สามารถไปตรวจได้ ขณะที่เรื่องการลดจำนวนวันการกักตัว ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างการขอความเห็นจาก ศบค. ต่อไป .-สำนักข่าวไทย