นายกฯ ให้ความสำคัญ พร้อมดูแลผู้สูงอายุ-เด็กปฐมวัย

ทำเนียบฯ 30 มี.ค.-นายกฯ เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การบูรณาการเพื่อการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต สำหรับกลุ่มเด็กปฐมวัยและผู้สูงอายุ” ย้ำรัฐบาลเตรียมความพร้อมดูแลกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กปฐมวัยให้เกิดผลสัมฤิทธิ์อย่างแท้จริง ขณะเดียวกันชี้แจงกรณีเปิดสอบครูผู้ช่วย ไม่ได้ดูถูกครูที่มีอยู่เดิม แต่เป็นการปฏิรูปการศึกษา และขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันยืนยันเรื่องพลังงานจะไม่ให้ใครเข้ามาได้ประโยชน์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30 มี.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การบูรณาการเพื่อการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต สำหรับกลุ่มเด็กปฐมวัยและผู้สูงอายุ” ระหว่างรัฐมนตรีว่าการ 4 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงจาก 4 กระทรวง ร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งการลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ เป็นการร่วมกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิตในกลุ่มเด็กปฐมวัยและผู้สูงอายุตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีแผนยุทธศาสตร์ประเทศด้านสาธารณสุขและยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 เพื่อรองรับการเป็นสังคมสูงอายุและความสมดุลของประชากรในวัยต่าง ๆ ที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ โดยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในปี 2564 ขณะที่กลุ่มวัยเด็กและวัยทำงานที่ต้องดูแลผู้สูงอายุมีแนวโน้มลดลง มีปัญหาเด็กเกิดน้อยด้อยคุณภาพ ส่งผลกระทบต่อประชากรวัยทำงาน ซึ่งเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต จึงต้องมีการตั้งเป้าหมาย “เด็กไทยเติบใหญ่มีคุณภาพ ผู้สูงวัยเป็นหลักชัยของสังคม มุ่งสู่ประเทศไทย 4.0” ในปี 2564

ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีลงนาม นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายว่า การลงนามวันนี้ เป็นสิ่งยืนยันเจตนารมณ์เพื่อให้การดำเนินการเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง และรัฐบาลสนับสนุนทุกกระทรวงให้นโยบายดังกล่าวเกิดขึ้นและต่อเนื่อง สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งงานของทุกกระทรวงต้องกำหนดผลสัมฤทธิ์ไว้ล่วงหน้า เพื่อเดินไปสู่เป้าหมาย ขจัดอุปสรรคต่าง ๆ และวันนี้รัฐบาลพยายามเดินหน้าไปสู่การปฎิรูป แม้จะมีคนบางส่วนไม่เข้าใจการดำเนินงานของรัฐบาลทั้งหมด แต่ก็ต้องมีความพยายามสร้างความเข้าใจ


“รัฐบาลต้องเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด โดยเฉพาะให้ความสำคัญกับสังคมผู้สูงอายุที่จะมีเพิ่มขึ้นมาก และในฐานะที่สังคมไทยต้องดูแลพ่อแม่ผู้สูงอายุด้วย โดยรัฐบาลต้องดูสวัสดิการทางสังคม ไม่ให้ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง เพราะลูกหลานต้องเข้ามาทำงานในเมือง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันหาแนวทางที่จะทำอย่างไรให้ครอบครัวได้ติดต่อกัน มีความใกล้ชิดครอบครัว เพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีความสุข รัฐต้องหาแนวทางคืนคนให้กลับสู่ท้องถิ่น ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม กระจายรายได้อาชีพไปสู่ต่างจังหวัด ลดความแออัดในกรุงเทพฯ ขณะที่คนในวัยเกษียณ 60 ปีขึ้นไป หากยังสามารถทำงานได้ ก็ต้องหางานที่เหมาะสมให้ทำ เช่นเดียวกับการดูแลทุกช่วงวัยที่รัฐบาลดูแล ตั้งแต่การตั้งครรภ์ของมารดา การศึกษา ซึ่งผมอยากให้เด็กทุกคนเป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม มีจรรยาบรรณ แบ่งปันผู้อื่น มีหลักคิดที่ถูกต้อง เพราะถ้าตัวเราเองดี ทุกคนดี สังคมดี ประเทศก็จะเดินหน้าไปได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องการศึกษาว่า รัฐบาลต้องการปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาใหม่ ทุกคนต้องมองปัญหาของชาติ และทุกคนทุกฝ่ายในระบบการศึกษาต้องร่วมมือกัน โดยเฉพาะเรื่องครูนั้น ตนไม่ได้ดูถูกครู ไม่ใช่ว่าจบครุศาสตร์ 5 ปีนั้นไม่ดีหรือสอนไม่ได้ แต่ที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เปิดสอบครูผู้ช่วยนั้น เพื่อเปิดทางให้มีครูในสาขาที่ไม่เพียงพอได้เข้ามา เนื่องจากคะแนนของเด็กไทยในบางวิชานั้นต่ำกว่าเกณฑ์ แต่หากเปิดให้สาขาวิชาอื่นเข้ามาแล้วสร้างความรู้สึกที่ไม่ดี ก็ต้องหาแนวทางแก้ไข  ซึ่งอาจจะต้องประเมินผลครูผู้ช่วยทุก 6 เดือน และสอบครูให้ได้ภายใน 2 ปี ทั้งนี้ตนหวังว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจะไม่ถูกถอดถอน เพราะขณะนี้เกิดผลกระทบกับตัวรัฐมนตรีค่อนข้างมาก

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องพลังงานว่า ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานความไว้วางใจของกันและกัน และขอให้ทุกคนเชื่อใจในการดำเนินการของรัฐบาล และขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันว่าจะไม่ให้ใครเข้ามามีผลประโยชน์ในเรื่องนี้


“อยากให้ทุกคนอยู่บนความไว้วางใจผม และผมขอเอาชีวิตของผมยืนยันว่าจะไม่ปล่อยปละให้ใครเข้ามาได้ประโยชน์ และยืนยันว่าทหารไม่ได้ต้องการที่จะเข้าไปมีบทบาทในด้านพลังงาน ยืนยันว่าไม่มีอยู่ในความคิด หรือหากว่าจะมีคนอื่นคิด ผมก็จะไม่อนุญาต จึงขอให้เชื่อมั่นผมในส่วนนี้ และขอให้เชื่อมั่นในกระบวนการ ซึ่งข้อมูลหลายอย่างที่ออกไปนั้นเป็นเรื่องของการพูดคุยในวงประชุมที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ซึ่งหากไม่เข้าใจกันก็จะทำให้เกิดความสับสนได้ และวันนี้ต้องนำความคิดเห็นของประชาชนเข้ามาพิจารณา ยืนยันว่าอะไรที่ไม่สามารถทำได้ ก็จะไม่ทำ เรื่องใดที่ไม่ถูกต้อง หรือส่อที่จะเสียผลประโยชน์ ก็จะไม่ให้ทำ ขอให้เชื่อมั่น และฝากผู้ว่าราชการและหัวหน้าส่วนทุกส่วนราชการ ช่วยทำความเข้าใจให้กับรัฐบาลด้วย” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลมีความตั้งใจทำงาน ส่วนราชการทุกส่วนก็เช่นเดียวกันที่ต้องทุ่มเททำงานและอธิบายต่อได้ ต้องสร้างความเข้าใจว่าจะเดินไปข้างหน้าอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง

“หากเราไม่เริ่มต้นทำในวันนี้ และถ้าหากยังคงขัดแย้งกันอยู่เช่นเดิม จะไม่มีอนาคตสำหรับประเทศไทย และไม่มีโอกาสทำอะไรอีกแล้วที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้ได้ ผมไม่ได้ดูถูกใคร แต่คิดว่าหากสิ่งที่ทำวันนี้ ไม่ได้รับการสานต่อ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงและกลับมาเช่นเดิม เราก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการมอบนโยบาย สื่อมวลชนได้รอสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีบริเวณทางเชื่อมตึกไทยคู่ฟ้า นายกรัฐมนตรี พูดว่า จะถามเรื่องอะไร ปิโตรเลียมหรือ จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ยื่นเอกสารชี้แจงกรณีร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียมและร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมให้กับสื่อมวลชน พร้อมระบุว่า “เอาไป ผมเตรียมไว้ให้แล้ว ผมเขียนเองเมื่อเช้า และก็ลงตามนี้ด้วย”

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกลุ่มคัดค้านมายังบริเวณหน้ารัฐสภา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากทำผิดกฏหมาย ก็ต้องถูกดำเนินคดี ให้รู้บ้างว่าการแก้ไขปัญหาตามระบบดำเนินการอย่างไร ไม่ใช่ใช้กฎหมู่อยู่ตลอด.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดเนื้อหาหนังสือแจง UNSC กัมพูชาวางทุ่นระเบิด-เริ่มยิงก่อน

25 ก.ค.- เปิดเนื้อหาหนังสือจากผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นิวยอร์ก เพื่อชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ส่งหนังสือชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ขอแจ้งให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกท่านทราบ ถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.     เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี ค.ศ. […]

“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน”

ก.มหาดไทย 25 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน” ชี้รับฟังทุกความไม่พอใจ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามยุทธวิธี ให้ทหารมีอิสระในการทำงาน มอง “ก่อแก้ว” ขอศาล รธน. คืนอำนาจให้ “แพทองธาร” เป็นความเห็นเหมือนประชาชนจำนวนมาก แต่ให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุถึง อยากให้กองทัพสั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซนก่อน ว่า ก็เหมือนประชาชนทั่วไป ที่เวลานี้มีความรู้สึกเช่นนั้น หลายคนแสดงความเห็นให้ทำแบบนู้นแบบนี้ เราก็รับฟังความห่วงใยความไม่พอใจที่เราถูกกระทำ ตนเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น และเห็นว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพราะเรื่องอธิปไตยของประเทศ การรุกล้ำเข้ามา กระทบประชาชนเรายอมไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายจะเห็นว่าเราประนีประนอม (Compromise) ให้มากที่สุด แต่เมื่อสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และเป็นปัญหา วันนี้จึงได้สั่งการให้ทหารมีอิสระในพื้นที่ โดยผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้คุมยุทธการ ปฏิบัติได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงได้มีการทำความเข้าใจกับ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการโทรคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด […]

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร” ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% ไม่พอใจเข้มปราบแก๊งคอลฯ

กระทรวงวัฒนธรรม 26 ก.ค.- “แพทองธาร” เปิดใจ ขอคนไทยรักกัน หันไปทะเลาะกับคนนอกประเทศก่อน ชี้ขัดแย้งกันเองยังรอได้ แฉกัมพูชาไม่พอใจไทยร่วมมือลาว – เมียนมา ปราบคอลเซ็นเตอร์ เผยสื่อนอกยังตั้งข้อสังเกต “กพช.” สั่งปิด รร.ยิงวันแรก เหมือนรู้ล่วงหน้าจะมีการรบ ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมติดตามมาตรการการรับมือ และช่วยช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 4 จังหวัด ที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยนางสาวแพทองธารได้ยืนยันแถลงการณ์ของรัฐบาล ตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้แถลงไปเมื่อวานนี้ ที่ระบุว่ากัมพูชาถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามขั้นรุนแรง วิธีการต่าง ๆ ขัดต่อหลักสันติวิธีของกฎหมายระหว่างประเทศ และขัดหลักมนุษยธรรมที่ได้ปฏิบัติมาตลอด สถานการณ์ความรุนแรง เป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ย้ำตลอดว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือชีวิตของประชาชน เป็นสิ่งที่เรายึดถือ และพยายามไม่ให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ จนฝ่ายกัมพูชาได้ยิงก่อน ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา นางสาวแพทองธารยังกล่าวว่า มีสำนักข่าวต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้วเรามีหลักฐาน มีดิจิทัลฟุตปริ้นท์ที่สามารถทำให้เห็นว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน และมีการตั้งข้อสังเกตว่าในวันนั้นนักเรียนของเราที่อยู่ชายแดนไปโรงเรียนตามปกติ […]

“เสธ.เบิร์ด” ชี้เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” ถือเป็นภัยคุกคาม

26 ก.ค.- “เสธ.เบิร์ด” ชี้ เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” วิถีไกล 130 กม. ถือเป็นภัยคุกคาม มองไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากกรณีกองทัพภาคที่ 2 เตือนเฝ้าระวังกัมพูชายิงขีปนาวุธ PHL-03 วิถีไกล 130 กม. เพื่อพุ่งเป้าหมายพื้นที่ยุทธศาสตร์และที่ตั้งทหารนั้น ล่าสุด พล.ต.วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กล่าวว่า การขยับขีปนาวุธ PHL-03 เป็นการขู่ และถือเป็นภัยคุกคาม ดังนั้นถ้าไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากการที่กัมพูชากล่าวหาว่า ไทยใช้ปฏิบัติการทางอากาศเกินกว่าเหตุนั้น เราไม่ทำเกินกว่าเหตุ แต่สิ่งที่เราทำนี้เป็นเหตุผล เพราะฝ่ายกัมพูชา เคลื่อนกำลังจำนวนมากมาประชิดชายแดน ใช้อาวุธยิงระยะไกลทำร้ายประชาชนของไทย ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน สถานีบริการน้ำมัน ทำให้ประชาชนชาวไทยบาดเจ็บ และเสียชีวิต จากการมีภาพข่าวการเคลื่อนอาวุธยิงระยะไกล ถือว่าเป็นการข่มขู่คุกคามความมั่นคงของไทยอย่างชัดเจน ดังนั้นการปฏิบัติการทางอากาศ เพื่อลดการสูญเสีย สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้การปฏิบัติการทางอากาศของไทยทำลายเป้าหมายทางทหารเท่านั้น และมีความแม่นยำ -สำนักข่าวไทย

น้ำท่วมน่านลดต่อเนื่อง ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย

น่าน 26 ก.ค.- สถานการณ์น้ำท่วมตัวเมืองน่าน ลดลงต่อเนื่อง ส่วนอีกหลายจุดยังอ่วม ท่วมสูงกว่า 1 เมตร ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย ย่านการค้าและเศรษฐกิจสำคัญของเมืองน่าน บริเวณถนนสุมณเทวราช ซึ่งเคยน้ำท่วมสูงเกือบถึงคอ แต่ตอนนี้น้ำลดลงเหลือประมาณหน้าขา เท่ากับลดไปราว 1 เมตร แต่บริเวณโดยรอบยังมีน้ำท่วมเต็มพื้นที่ โดยเฉพาะที่ลุ่มต่ำ ยังท่วมสูงกว่า 1 เมตร ทีมข่าวได้เข้าไปสำรวจความเสียหายของโรงแรงแห่งหนึ่งกลางเมืองน่าน ซึ่งสภาพภายในเต็มไปด้วยคราบโคลน รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ที่จอดไว้เสียหายจำนวนมาก ขณะที่เจ้าของร้านค้าย่านนี้ เริ่มสำรวจความเสียหายจากน้ำท่วม อีกจุดหนึ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักคือที่โรงพยาบาลน่านที่ถูกน้ำท่วมสูงเต็มพื้นที่ 40 ไร่ บางจุดท่วมเกือบมิดหัว ตอนนี้น้ำลดแล้ว แต่ตามอาคารต่างๆ น้ำทะลักท่วมยาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ได้รับความเสียหาย แต่ผู้ป่วยใน ราว 3 ร้อยคน ยังปลอดภัย คุณหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่เร่งช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาด เพื่อให้โรงพยาบาลกลับมาเปิดบริการตามปกติให้เร็วที่สุด ช่วงสายที่ผ่านมา นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายใจกลางเขตเศรษฐกิจเมืองน่านด้วย -สำนักข่าวไทย