กรุงเทพฯ 15 ก.ย. – ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)-สมาคมธนาคารไทย ร่วมกันให้ข้อมูลบ่ายวันนี้ กรณีปัญหาผลกระทบประชาชน จากการระงับธุรกรรมเส้นทางเงินเพื่อจำกัดความเสียหายจากบัญชีม้า ด้านนักวิเคราะห์ เปรียบเทียบปัญหาไทย-จีน หวังรัฐบาลใหม่เอาจริง
ธปท.แจ้งว่า บ่ายวันนี้ เวลา 13.00-14.30 น. ธปท.จะมีการชี้แจงรายละเอียดการระงับธุรกรรมในเส้นทางเงินเพื่อจำกัดความเสียหายจากบัญชีม้าให้แก่สื่อมวลชน ณ ห้องแถลงข่าว อาคาร 2 ธปท. โดยนางดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน นางสาวอรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการ ธปท. และนายสุปรีชา ลิมปิกาญจนโกวิท ผู้แทนจากสมาคมธนาคารไทย ร่วมกันให้ข้อมูล
การชี้แจงดังกล่าว ก็เป็นเรื่องต่อเนื่องจากวานนี้ที่มีการประชุมร่วมกันของหน่วยงานรัฐ-ธปท.-สมาคมธนาคารไทย เพื่อร่วมปลดล็อกปัญหา ปรับแนวทางการอายัดบัญชีและกระบวนการปลดอายัด เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนสุจริต หลังจากมีประชาชนจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการระงับบัญชีธนาคารชั่วคราว ซึ่งเป็นมาตรการในการตรวจสอบและปิดกั้นบัญชีม้าของมิจฉาชีพ เพื่อติดตามเส้นทางการเงิน และนำเงินจากการก่ออาชญากรรมออนไลน์ของมิจฉาชีพกลับคืนมาให้กับผู้เสียหาย เป็นกลไกตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ตามมาตรา 6 และมาตรา 7 ตามขั้นตอน ทางธนาคารมีหน้าที่ในการระงับการทำธุรกรรมทางการเงินเป็นการชั่วคราว โดยศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) และธนาคารพาณิชย์ได้ยกระดับการจัดการบัญชีม้า ขยายขอบเขตการติดตามเส้นทางเงินให้กว้างขึ้น เพื่อกักเงินที่โยงกับบัญชีม้ามาคืนผู้เสียหายให้ได้มากที่สุด จึงทำให้การระงับบัญชีที่เกี่ยวข้องอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากขึ้น
สำหรับประชาชนสุจริตที่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา สามารถติดต่อยกเลิกการระงับ โดยติดต่อไปยังศูนย์ AOC 1441 ต่อ 2 ได้ตลอด 24 ชม.
นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด วิเคราะห์ ปัญหาโดยระบุว่า ตำรวจไซเบอร์ (บช.สอท.) ชี้แจงว่า ที่มาของมาตรการระงับบัญชีต้องสงสัย ว่ามาจากการที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์อาศัย “บัญชีม้า” ในการกระจายเงิน แทนการโอนตรงเข้าสู่บัญชีหลักของขบวนการ ซึ่งมีทั้งการจ่ายค่าตอบแทนให้เจ้าของบัญชีม้า หรือโอนเงินเข้าร้านค้าเพื่อแลกเปลี่ยนออกมาเป็นเงินสดหรือสินค้า ไม่ว่าผู้ประกอบการจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เพื่อปกปิดเส้นทางการเงิน วิธีการนี้ส่งผลให้การติดตามเงินคืนแก่ผู้เสียหายทำได้ยากขึ้น และมีความเสี่ยงที่ประชาชนทั่วไปหรือผู้ประกอบการบางรายจะถูกหลอกให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับวงจรฟอกเงินโดยไม่รู้ตัว ซึ่งท้ายที่สุดอาจส่งผลกระทบต่อการถูก “อายัดบัญชี” จนไม่สามารถใช้เงินได้ แม้จะไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการอาชญากรรมโดยตรงก็ตาม
อย่างไรก็ตาม มาตรการแก้ปัญหาของไทย-ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง โดยมาตรการนี้ภาครัฐอ้างว่า สามารถหยุดเส้นทางการเงินของคนร้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ยอมรับว่าเมื่อระบบติดตามเส้นทางการเงินมีความเข้มข้นขึ้น ก็ทำให้บัญชีของ “ประชาชนสุจริต” บางราย (หลายแสนบัญชี) ถูกระงับไปด้วย ในขณะที่สายด่วน AOC 1441 ต่อ 2 ก็ติดต่อได้ยาก ซึ่งกรณีภาครัฐระบุกรณีที่ผู้เสียหายได้รับโอนเงินมาจากบัญชีม้าโดยที่อาจไม่ได้รู้เห็นด้วยนั้น ตามมาตรการที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้เป็นเพียงการ “ระงับจำนวนเงินดังกล่าวชั่วคราว” ไม่ใช่การอายัดบัญชีธนาคารทั้งบัญชี นั่นหมายความว่าผู้ที่ถูก “ระงับการทำธุรกรรม” จะไม่สามารถดำเนินการใด ๆ กับ “วงเงิน” ที่ถูกระงับเท่านั้น รัฐอ้างว่าแม้บัญชีจะถูกอายัด แต่ยังสามารถใช้บัญชีของตนเองในการทำธุรกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจากวงเงินนั้นได้ตามปกติ เช่น ถ้าถูกระงับธุรกรรม 100 บาท แต่เงินของประชาชนออกไปแล้วเหลือไม่ถึง 100 บาท ก็จะล็อกวงเงินนั้นไว้ จนกว่าประชาชนจะมีวงเงินมากกว่า 100 บาท ถึงจะกลับมาใช้ได้ เป็นไปตามกลไกภายใต้ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ตามมาตรา 6 และมาตรา 7 ซึ่งธนาคารมีหน้าที่ในการระงับการทำธุรกรรมทางการเงินเป็นการชั่วคราว โดยจะมีการระงับจำนวนเงินเฉพาะที่โอนออกไปจากบัญชีต้องสงสัย แตกต่างจากการ “อายัดบัญชี” ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยมีหมายอายัดเท่านั้น แต่ว่ากว่าทางการจะสามารถตรวจสอบได้ว่า บัญชีนั้นๆ ได้รับเงินมาโดยสุจริต ต้องยื่นเอกสารมากมาย ใช้เวลานานกว่าจะได้รับการปลดล็อกการถูกอายัดบัญชี

นายสุวัฒน์ ให้ความเห็นว่า ผู้ร้ายตัวจริง คือต่างชาติเป็นหลัก ประชาชนไทยเป็นแพะ ในหลาย ๆ กรณี มีการขายบัญชีแล้วก็ไปเปิดบัญชีจำนวนมากใช้เป็นเส้นทางของคนร้ายจริง โดยหากถูกตรวจสอบว่า เป็นบัญชีม้าจริง ๆ เรียกว่า “ม้าสีดำ” ทางการจะมีกลไกของทาง ปปง. ไปทำให้การมีบัญชีนั้นทำได้ยากขึ้น กลไกการเพิกถอนการระงับธุรกรรมชั่วคราว ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจ ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) ในการปลดล็อกการระงับวงเงินผ่านการดำเนินการของศูนย์ AOC 1441 ได้ โดยจะเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบบัญชีผ่านการจัดตั้งศูนย์ประสานงานทำงานร่วมกัน ระหว่าง ศปอท., ธปท., ธนาคารพาณิชย์ที่เกี่ยวข้อง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยตรวจสอบเส้นทางการเงิน, รูปแบบทางการเงินของบัญชีว่ามีลักษณะเป็นการทำธุรกรรมปกติหรือไม่ และเจ้าของบัญชีมีรายชื่อเกี่ยวข้องกับการอายัดบัญชีของ ปปง. และตำรวจหรือไม่
ปัญหาที่เกิดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ระบุว่า ศูนย์ AOC 1441 ในช่วงเกือบ 2 ปี (1 พฤศจิกายน 2566 – 1 สิงหาคม 2568) ได้ระงับบัญชีธนาคารไปแล้ว 821,090 บัญชี คิดเป็นค่าเฉลี่ยได้วันละ 1,269 บัญชี โดยบัญชีธนาคารที่ถูกระงับส่วนใหญ่เข้าข่ายประเภทคดี “หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ” คิดเป็น 31.82% รองลงมาคือคดีหลอกลวงหารายได้พิเศษ, หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล, หลอกลวงลงทุน, หลอกลวงให้กู้เงิน และคดีอื่น ๆ แต่หากในการปฏิบัติงานตามมาตรการและระเบียบที่มีอยู่ บ่งบอกว่า กระบวนการแจ้งอายัดบัญชีผ่านสายด่วน 1441 ทำได้ง่ายดาย เพียงแค่ผู้เสียหายแจ้งว่าถูกโกงและตรวจสอบพบว่ามียอดโอนไปยังบัญชีปลายทางจริง แต่กระบวนการปลดอายัดกลับยุ่งยากและต้องผ่านตำรวจสอบสวนซึ่งรับผิดชอบหลายคดีในมืออยู่แล้ว
-วิเคราะห์การตรวจสอบและจับกุมเงินในบัญชีผิดกฎหมายของอาชญากรระหว่างจีนและไทย
โดยการตรวจจับนั้น เทคนิคการฟอกเงินของไทยส่วนหญ่จะผ่าน “บัญชีม้า” โดยไทย: ใช้ “บัญชีม้า” (บัญชีธนาคารที่ถูกเช่าหรือยึดมา) รับเงินผิดกฎหมาย → ซื้อสินค้า (เช่น สินค้าฟุ่มเฟือย โทรศัพท์ ทองคำ) → นำไปขายต่อเป็นเงินสดเพื่อตัดสายการติดตาม
-จีน: ใช้การซื้อ “ของมีค่า” (เช่น กระเพาะปลา ภาพวาดโบราณ หยก) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ → จ่ายเงินเกินราคาให้อาชญากร (แอบแฝงการโอนเงินผิดกฎหมาย) → อาชญากรนำไปขายต่อหรือใช้เป็นหลักทรัพย์ต่อได้
ในขณะที่การตรวจจับและความท้าทาย โดยไทยใช้บัญชีม้า การตรวจจับมุ่งเน้นที่การติดตามการเคลื่อนไหวของเงินในบัญชีม้าและรูปแบบการซื้อสินค้าที่ผิดปกติ, อุปสรรคหลักคือ บัญชีม้ามักเปิดด้วยบัตรประชาชนที่ถูกขโมยหรือเช่าจากประชาชนที่ขาดความรู้ ทำให้ติดตามตัวจริงยาก ซึ่งไทย เริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่ยังขาดพัฒนาการใช้และเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างสถาบันการเงินและแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์อย่างเป็นระบบ
ส่วน จีน:ตรวจสอบ กระเพาะปลา เป็นสินค้ามีค่าในการฟอกเงิน ใช้ระบบตรวจสอบธุรกรรมออนไลน์และแพลตฟอร์มการค้าอิเล็กทรอนิกส์เพื่อติดตามการซื้อขายของมีค่าที่มีราคาไม่สมจริง ,ความท้าทายอยู่ที่การพิสูจน์ว่าการซื้อขายนั้นเป็นการฟอกเงินจริง เพราะของมีค่าอาจมีราคาตลาดที่ยืดหยุ่น โดยจีน ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์ธุรกรรมแบบเรียลไทม์ มีกฎหมาย strict ในการควบคุมแพลตฟอร์มออนไลน์และบัญชีธนาคาร
ในด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ: ทั้งจีนและไทย เพิ่มความร่วมมือกับประเทศอื่นในการติดตามการฟอกเงินข้ามชาติ แต่จีนมีทรัพยากรและอิทธิพลในการดำเนินการมากกว่า โดยหลายเดือนก่อนที่จีนบินมาแจ้งเบาะแสให้ทางการไทยจับกุมทั้งคนไทย คนจีน คนต่างชาติอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงผ่าน call center และบัญชีม้ามากมาย แต่ไทยเพิกเฉย เพียงตัดไฟฟ้าแบบ “พอเป็นพิธี“ เท่านั้น
บทสรุป “ ไทยเอาใจ แต่ จีนเอาจริง” ในขณะที่ไทยมุ่งเน้นการติดตามบัญชีม้าและการแปลงสินค้าเป็นเงินสด จีนจะเผชิญกับการฟอกเงินผ่านของมีค่าที่แอบแฝงในธุรกรรมออนไลน์ จีนเอาจริงเอาจังกับการปราบปราม แต่ไทยดูเหมือนทำเป็นพิธี ซึ่งหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่ จะเข้ามาแก้ปัญหา การอายัดบัญชี เป็นวิธีที่ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่เหมาะสมชัดเจน ที่จะอยู่ในความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพการตรวจสอบและจับกุม และการไม่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทั่วไป ที่ผ่านมา เราทำเพียง “ลูบหน้าปะจมูก” เพราะผู้มีอำนาจต่างมีส่วนร่วมกับการทำผิดเหล่านี้หรือไม่? ในขณะที่จีนทำแบบจริงจังมาก ปธน.สีจิ้นผิง ระบุ “การทุจริตคือความเสี่ยงสูงสุดต่อการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์” นายสุวัฒน์ ระบุ.- 511- สำนักข่าวไทย