ศาลฎีกาฯ 20 ม.ค.- “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” หนุนการสร้างความปรองดอง แต่ต้องเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แนะเชิญนักวิชาการ ที่เป็นกลาง หรือผู้ที่สังคมยอมรับเข้ามา เป็นคณะกรรมการ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ ว่าเมื่อเวลา 8.45 น. ศาลนัดไต่สวนพยานจำเลยครั้งที่ 9 คดีจำนำข้าว ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย เป็นการไต่สวนพยานฝ่ายจำเลย 2 ปาก คือนายยรรยง พวงราช อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายทศพล ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ซึ่งการเดินทางมาศาลในวันนี้ มีอดีตรัฐมนตรี สมาชิกพรรคเพื่อไทย และกลุ่มมวลชนมารอให้กำลังใจ ท่านกลางการดูแลความเรียบร้อยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งในและนอกเครื่องแบบ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการที่ คสช.และรัฐบาลออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน ตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ว่า ส่วนตัวยินดีให้การสนับสนุน ถ้าทุกอย่างเป็นประโยชน์กับประเทศ แต่ควรยึดหลักความเป็นกลางความเป็นธรรม และขอให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ต้องแน่ใจว่าจะเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า หวังว่ากลไกทางภาครัฐและฝ่ายทหารจะเป็นผู้ประสานงานที่ดี ถ้าเป็นไปได้อยากให้เชิญผู้ที่มีความเป็นกลางโดยเฉพาะนักวิชาการ หรือผู้ที่สังคมให้การยอมรับเข้ามาแลกเปลี่ยนให้ความรู้ และเป็นคณะกรรมการ เชื่อว่าหากคณะกรรมการ ป.ย.ป. จะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศคงไม่มีผู้ใดปฏิเสธ เพราะทุกคนต้องคิดถึงส่วนรวมเป็นหลัก อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาจะต้องทราบถึงนิยามคำว่าปรองดองก่อน ทุกคนต้องยอมรับและได้รับความเป็นกลางไม่มีการเลือกปฎิบัติ เมื่อได้รับนิยามแล้วจึงจะพิจารณาที่กลไกปฎิบัติต่อไป
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่ยไทย กล่าวว่า ตามที่ คสช. และรัฐบาลได้ออกคำสั่งเพื่อให้มีการดำเนินการเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปและการสร้างความปรองดองโดยจะจัดให้มีคณะกรรมการรับผิดชอบขับเคลื่อนในด้านต่างๆและเรียกร้องให้นักการเมืองร่วมมือกันสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคม การแก้ไขปัญหานี้ให้ประสบความสำเร็จ คงไม่ใช่ให้พรรคการเมืองมาพบกันและจัดทำเอ็มโอยูเท่านั้น เพราะปัญหาความไม่ปรองดอง ไม่ใช่เกิดจากเฉพาะพรรคการเมืองแต่ฝ่ายเดียว แต่เกี่ยวพันกับคนหลายกลุ่ม หลายฝ่าย หลายองค์กร เกี่ยวพันกับปัญหาประเทศเชิงโครงสร้างในหลาย ๆ ส่วน รวมถึงผู้มีอำนาจในปัจจุบันก็เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาที่เกิดขึ้น
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ปัจจัยที่จะทำให้ความปรองดองเกิดขึ้น เป็นผลสำเร็จ ความหมายที่แต่ละฝ่ายยึดถือและเข้าใจในเรื่องความปรองดองนั้นต้องตรงกัน จึงจะสามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาได้ สำหรับพรรคเพื่อไทย เข้าใจว่าการปรองดองหมายถึง การอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติภายใต้หลักนิติธรรม บนพื้นฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นการจะสร้างความปรองดองได้ คือ การอำนวยให้เกิดความยุติธรรม และการยอมรับการอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างที่แต่ละฝ่ายมี ซึ่งพรรคเพื่อไทยมอบให้นายโภคิน พลกุล นายชัยเกษม นิติสิริ นายชูศักดิ์ ศิรินิล นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็นผู้ดำเนินการติดตามเรื่องนี้และรายงานให้ที่ประชุมรับทราบ .-สำนักข่าวไทย