ผบ.ทสส. ระบุ เปิดประเทศเสรีต้องรอพิจารณาผลกระทบรอบคอบ

กรุงเทพฯ 18 มิ.ย.- ผู้บัญชาการทหารสูงสุด นำความห่วงใยจากนายกรัฐมนตรี ถึงตำรวจทุกนายท่ี่ปฏิบัติหน้าท่ีช่วงระบาดโควิด-19 พร้อมระบุ เปิดประเทศเสรี ต้องรอพิจารณาผลกระทบรอบคอบ รอเริ่ม travel bubble หากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เชื่อ ใช้กฎหมายปกติดูแลได้


พลเอกพรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจการปฏิบัติหน้าที่ของศูนย์ปฏิบัติการด้านความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปม.ตร.) ว่า การตรวจเยี่ยมครั้งนี้ ต้องการนำความห่วงใย และคำชื่นชมจากนายกรัฐมนตรี มายังข้าราชการตำรวจทุกนาย ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างหนักตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจาก เป็นหน่วยงานหลักในการปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบและควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 มาตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม ถึง 14 มิถุนายน 2563 ซึ่งจากรายงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดช่วงการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีการจัดตั้งจุดตรวจโควิด และด่านเคอร์ฟิว ทั่วประเทศกว่า 1,600 จุดทั่วประเทศ โดยใช้กำลังกว่า 40,000 คน และเมื่อยกเลิกเคอร์ฟิวแล้ว ตำรวจได้ปรับการตั้งจุดตรวจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ในการป้องกันอาชญากรรมต่าง ๆ ซึ่งหากมีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เชื่อว่า ตำรวจสามารถบังคับใช้กฎหมายปกติ ดูแลความสงบเรียบร้อยได้ ทั้งการรวมตัวมั่วสุม การชุมนุมต่าง ๆ หากไม่ผิดกฎหมาย ก็สามารถทำได้ 

ส่วนการพิจารณาต่อ หรือ ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นั้น ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยืนยันว่า ในส่วนของความมั่นคง จะพิจารณาจากความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยคำนึงถึงการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าต่อไปได้ 


ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยังกล่าวถึงการเปิดประเทศอย่างเสรี โดยระบุว่า ต้องมีการพิจารณาอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจาก travel bubble หรือการให้สิทธิพิเศษของการเดินทางเข้า-ออก ประเทศระหว่างกันได้โดยไม่ต้องมีการกักตัว 14 วัน แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเข้มข้น แต่ขณะนี้ ยังติดขัดในข้อปฏิบัติ ทั้งประเทศต้นทาง ปลายทาง และข้อกฎหมาย ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างศึกษาผลกระทบให้รอบคอบ แต่เบื้องต้น หากไม่ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ การพิจารณาคนเข้าประเทศ เชื่อว่า กฎหมายปกติ สามารถดูแลควบคุมการเดินทางเข้า-ออก ได้ แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป .-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง