ธปท. 30 ก.ย. – แบงก์ชาติ มุ่งยกระดับเทคโนโลยี พัฒนาการชำระเงินของไทย หนุนนักท่องเที่ยวต่างชาติแลกคริบโตฯ ใช้จ่ายเงินบาทในประเทศ คนไทยใช้ออนไลน์เก่ง โอนผ่านพร้อมเพย์ 95 ล้านรายการต่อวัน
นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในหัวข้อ “ทิศทางการพัฒนาระบบการชำระเงินไทย (Payment Directional Paper)” ว่า ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา Digital Payment ของไทยก้าวหน้าไปมาก ทำให้ปริมาณธุรกรรมทางการเงินผ่านโมบายแบงกิ้งเพิ่ม 25 เท่า , ปริมาณธุรกรรมผ่านโอนผ่านพร้อมเพย์ 95 ล้านรายการต่อวัน ,ธุรกรรมผ่าน e-money เพิ่มขึ้น 12 เท่า , ร้านค้ารับชำระเงินด้วย QR-Code เพิ่มขึ้น 33 เท่า , มูลค่าชำระเงินด้วยบัตรเพิ่มขึ้น 40% , ขณะที่การใช้เงินสดผ่านสาขาและ ATM ลดลง -34% ,ยอดการใช้เช็คลดลง -43% ทำให้ลดต้นทุนการผลิตธนบัตรได้มากขึ้น
ธปท. อยากให้ภาคธุรกิจหันมาใช้ระบบ Promt BIZ โอนเงินระหว่างกันมากขึ้น หากใช้มากขึ้น จะทำให้ภาคธนาคาร มีข้อมูลในการพิจารณาสินเชื่อสะดวกมากขึ้น รวมถึง นโยบายของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.ล.ต. กำลังทดลองให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ นำคริบโตฯ มาแลกเป็นเงินบาท เพื่อใช้จ่ายผ่านร้านค้าหรือห้างทั่วไป เรื่องนี้ ธปท.ช่วยดูแลอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ เพื่อติดตามดูแลการใช้ระบบ e-money โดยต้องยืนยันตัวตนให้ชัดเจน

นายณพงศ์ธวัช โพธิกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงินฯ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ธปท. ได้ทดลองใน sandbox เปิดให้ Programmable Pament โดยอ้างอิงกับเงินบาท โอนเงินผ่านบล็อกเชน โอนข้ามเครือข่าย รองรับได้มากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ของผู้ใช้บริการ ธปท. ได้ยกระดับความปลอดภัยของระบบการชำระเงินให้ดีขึ้น ควบคู่กับการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมโดยได้ทดสอบสกุลเงินติจิทัล (Centra) Bank Digital Currency: CBDC) เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อตอบโจทย์และความท้าทายเชิงนโยบาย ได้แก่ 1) ไทยมีสัดส่วนของเศรษฐกิจนอกระบบสูง หลายกิจกรรมยังอาศัยเงินสดเป็นหลัก ทำให้ไม่ ถูกบันทึกเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 2) การปรับตัวกับเทคโนโลยีใหม่ อย่าง Distributed Ledger Technology (DLT) tokenization และปัญญาประดิษฐ์ (A)) ซึ่งอาจสร้างความเสี่ยงรูปแบบใหม่ขึ้นมา 3) ภัยทุจริตและธรกรรมผิดกฎหมาย จากการที่ระบบการชำระเงินอาจถูกใช้เป็นช่องทางในการกระทำความผิด การพัฒนาระบบการชำระเงินภายใต้ทิศทางการพัฒนาระบบการชำระเงินไทย ฉบับใหม่ มีดังนี้
- การต่อยอดจากระบบการชำระเงินปัจจุบัน โดยยกระดับระบบพร้อมเพย์ให้มีนวัตกรรมและบริการใหม่ที่ ตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกกลุ่มมากขึ้น เช่น การพัฒนาบริการชำระเงินที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการซื้อสินค้าออนไลน์และบริการที่ทดแทนเช็ค การส่งเสริมการใช้ข้อมูลการชำระเงิน (digital footorint) เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงิน ในกลุ่ม SMEs
- การยกระดับระบบาทเนต (BAHTNET) โดยวางรากฐานของระบบบาทเนตให้สามารถปรับตัว ยึดหยุ่น ต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความเสี่ยงในโลกอนาคต รวมทั้งเพิ่มขีดความการรองรับนวัตกรรมด้านการชำระเงิน
- การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับนวัตกรรมการชำระเงินในอนาคต ผ่านการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี DLT และ tokenization ควบคู่กับการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ใช้งานและระบบการเงิน โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเป็นเอกภาพของเงิน การป้องกันการถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงินหรือฉ้อโกง และการคุ้มครองผู้ใช้งาน โดยมีแนวทางกำกับดูแลเพื่อรอรองรับการพัฒนาบริการ ด้วย tokenized money รองรับการโอนระหว่างกันหรือแตกให้เป็นขนาดเล็กลง.-515-สำนักข่าวไทย