กรุงเทพฯ 2 มิ.ย.-สรท.คาดส่งออกปีนี้ติดลบร้อยละ 8 ขอ ธปท.ดูแลเงินบาท 34 บาท/ดอลลาร์ เพื่อช่วยสินค้าไทยแข่งขันได้ในตลาดการค้าโลก พร้อมขอเปิดการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน
นางสาวกัณญภัค ตัณติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สภาผู้ส่งออก) หรือ สรท. เปิดเผยว่า ภาพรวมการส่งออกของไทยเดือนเมษายนและ 4 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.) ไม่ดีนัก จึงยังคงคาดการณ์ส่งออกปีนี้ว่าติดลบร้อยละ 8 บนสมมติฐานค่าเงิน 30.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนวันที่ 31 พฤษภาคม อยู่ที่ระดับ 31.81 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยอัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.8 – 32.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ สรท.มองว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่ากว่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค จึงต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รักษาเสถียรภาพของเงินบาทให้เอื้อต่อการส่งออก เพื่อให้ผู้ส่งออกสามารถแข่งขันได้ โดยอยากเห็นเงินบาทอ่อนค่าอยู่ในระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับปัจจัยบวก ได้แก่ การขยายตัวของการส่งออกกลุ่มอาหารช่วงโควิด-19 จากความต้องการสินค้ากลุ่มอาหารเพื่อดำรงชีวิตประจำวันในช่วงมาตรการล็อกดาวน์ การผ่อนคลายมาตรการภายในประเทศ ส่งผลให้ระบบการผลิต ระบบโลจิสติกส์และการขนสิ่งสินค้าระหว่างประเทศจะเริ่มกลับมาดำเนินการใกล้เคียงกับปกติ และการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกทองคำ ช่วยดึงตัวเลขภาคการส่งออกให้มีการขยายตัวในช่วงสถานการณ์ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดโควิด-19 ตลาดส่งออกเพื่อนบ้านที่นิยมสินค้าไทยช่วงที่ผ่านมากังวลโควิด-19 แต่หากทุกอย่างกลับมาปกติและศูนย์บริหารสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) อนุญาตขนส่งสินค้าคล่องตัวมากขึ้น มองว่าต่อไปจะมีการผ่อนคลายให้มีการค้าชายแดนเพิ่มมากขึ้น
ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่ ความไม่แน่นอนของการระบาดโควิด-19 ระยะต่อไป หลายประเทศยังคงมาตรการล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและความต้องการสินค้าของตลาดโลกลดลง ขณะที่ราคาน้ำมันกลับมาขาขึ้น จากการผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่ม OPEC ลดการผลิตน้ำมันซึ่งจะส่งผลกระทบราคาน้ำมันและกระทบต่อต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยสหรัฐอาจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าและเพิกถอนการจดทะเบียนของบริษัทสัญชาติจีนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ซึ่งอาจกดดันการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจทั่วโลก
สำหรับข้อเสนอแนะ คือ ต้องการให้ ธปท.รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนไม่แข็งค่ากว่า 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขอให้ภาครัฐขับเคลื่อนงบประมาณภาครัฐเพื่อลงทุนสร้างความยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการปรับตัวไปสู่ดิจิทัลของภาครัฐ ภาครัฐยังต้องเดินหน้าเข้าร่วมเจรจา CPTPP เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยสงวนสิทธิ์ให้สามารถถอนตัว หากทราบรายละเอียดเงื่อนไขและไม่สามารถเจรจาให้เกิดประโยชน์ในภาพรวมของประเทศ ขอภาครัฐพิจารณาการค้าในรูปแบบ Trade to Localization มุ่งเน้นไปที่ประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน และกลุ่มประเทศ CLMV ที่เป็นตลาดสำคัญ ขอให้รัฐพิจารณาส่งเสริมรายอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เพื่อเป็นกระตุ้นการส่งออกอาทิ สินค้าเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก และขอให้ศูนย์บริหารสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื่อไวรัสโคโรนา 2019 พิจารณาปลอดล็อคธุรกิจทั้งทางด้านการค้าและบริการเพิ่มเติม เพื่อให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมได้คล่องตัวมากขึ้น.- สำนักข่าวไทย
