รัฐสภา 27 พ.ค.- ผู้นำฝ่ายค้าน เปิดอภิปราย หวั่น พ.ร.ก.กู้เงิน แบ่งเค้กใช้หาเสียงทางการเมือง ห่วง งบฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท นำไปทำโครงการแบบเดิม เอื้อประโยชน์ของพวกพ้อง ตั้งข้อสังเกตไม่กำหนดให้รายงานการใช้จ่ายต่อสภาฯ
นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน เปิดการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน โดยชื่นชมความสำเร็จการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19 ในประเทศไทย ซึ่งประชาชนถือเป็นผู้เสียสละ ที่ปฏิบัติตนตามข้อแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข แต่ในความสำเร็จยังมีความผิดพลาด จากการบริหารภายใต้ภาวะวิกฤต เกิดปัญหาประสิทธิภาพในการจัดหาหน้ากากอนามัย และชุดป้องกันการติดเชื้อ อีกทั้ง มีความสับสนในมาตรการการกักตัว และสั่งปิดสถานที่ต่างๆ เกิดความล่าช้าในการเยียวยา รวมถึง การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และความล่าช้าในการคลายล็อก ทำให้ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า หากดูตัวเลขผู้เสียชีวิต กับคนที่ฆ่าตัวตายไม่แตกต่างกัน
นายสมพงษ์ กล่าวว่า จากสภาพเศรษฐกิจที่มีความเสียหาย ทำให้ต้องกู้เงินจำนวนมาก เพื่อมากอบกู้เศรษฐกิจ ดังนั้น รัฐบาลต้องระลึกว่า เงินกู้จำนวนมหาศาลนี้ ประชาชนต้องรับภาระในการใช้หนี้ รัฐบาลต้องใช้เงินอย่างรับผิดชอบ และเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ซึ่งที่ผ่านมามีการแบ่งชิ้นเค้ก ชิงผลประโยชน์ทางการเมือง ฝ่ายบริหารที่มีอำนาจสูงสุดในการตรวจสอบ กลับตั้งแค่คณะกรรมการกลั่นกรองมาตรวจสอบเงินจำนวนมหาศาล โดยไม่พูดถึงการแจ้งต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ ส.ส.ร่วมกันตรวจสอบให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
“ารให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อเยียวยา 1 ล้านล้านบาท รัฐบาลต้องชี้แจงต่อสังคมให้ได้ว่า มีรายละเอียดการใช้จ่ายอย่างไร ใครได้รับประโยชน์ รัฐบาลต้องเอารายละเอียดในการใช้จ่ายมาแจ้งให้ สภาผู้แทนราษฎรรับทราบ” นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ กล่าวว่า แผนงานหลักในการเยียยา 5.5 แสนล้านบาท ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อประชาชนเป็นผู้เสียภาษี แต่มีการเลือกปฏิบัติ เหตุใดไม่ใช้ระบบ “ถ้วนหน้า” เพื่อให้ได้รับการเยียวยาทั้งหมด ขณะที่ งบประมาณในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท ถือว่าน่าห่วงที่สุด เพราะมีการเปิดช่องใช้เงินเพื่อประโยชน์ทางการเมือง มีข้อสังเกตว่าแบ่งตามกระทรวงต่างๆ ไว้หมดแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เข้าสภาฯ และว่า ฝ่ายค้านไม่ขัดข้องเรื่องการกู้เงิน เพราะเห็นถึงความจำเป็น แต่ในด้านการใช้จ่ายเงินต้องให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“ตามที่รัฐบาลกล่าวถึงทิศทางการใช้เงินก้อนนี้ ไม่ตอบโจทย์ และไม่ได้คิดถึงภาพใหญ่ และโอกาสของประเทศ เพราะจะสนับสนุนการจ้างงานภาคการเกษตร ใช้ฝึกอบรม รวมถึง ใช้เป็นงบชุมชน เปิดช่องการใช้เป็นเงินเพื่อประโยชน์ทางการเมือง แจกจ่ายให้กับ ส.ส. เสมือนเป็นการตีเช็คเปล่า หรือนำไปทำโครงการแบบเดิมๆ เพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง และการตอบแทนทางการเมือง โดยที่ถูกต้องโครงการต้องเป็นไปเพื่อตอบสนองและตอบโจทย์เรื่องโควิด ไม่ใช่ใช้จ่ายไปทั่ว” นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ ยังกล่าวถึง พ.ร.ก.ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบ (เอสเอ็มอี ) ว่า เรื่องนี้มีความจำเป็น รัฐบาลตั้งวงเงินไว้ 5 แสนล้านบาท แนวปฏิบัติที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ ธนาคารพาณิชย์กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเรื่องดี แต่ห่วงว่าการพิจารณาให้กู้แต่ละบริษัท ขึ้นอยู่ธนาคารพาณิชย์จะพิจารณาตามเครดิต หลักทรัพย์ ซึ่งจะทำให้บริษัทที่ผ่านการอนุมัติมีน้อย และ จำนวนมากจะเข้าไม่ถึงเงินกู้ จึงต้องการให้ ยึดหลักการ”ความทั่วถึง”
“ส.ส.ฝ่ายค้านจะร่วมอภิปรายรายละเอียด พ.ร.ก.กู้เงิน เพื่อให้ประโยชน์ลงไปสู่ประชาชนอย่างทั่วถึง ด้วยการบริหารอย่างโปร่งใส ไม่ใช่เอื้อประโยชน์ให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะเม็ดเงินทุกบาทคือเงินในอนาคตของลูกหลาน” นายสมพงษ์ กล่าว .- สำนักข่าวไทย