กรุงเทพฯ 25 พ.ค. – เกษตรกรเผยเหลือ 6 วัน ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมยกเลิกสารเคมีการเกษตรอันตราย
2 ชนิด จะมีผลบังคับใช้
แต่ภาครัฐยังไม่มีมาตรการบรรเทาผลกระทบ ลั่นร้องศาลปกครองชะลอยกเลิก ด้านกรมวิชาการเกษตรเตรียมออกประกาศห้ามครอบครองพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสให้เกษตรกรนำไปคืนร้านค้า
นายสุกรรณ์
สังข์วรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย กล่าวว่า
ได้หารือร่วมกับผู้แทนกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ 6 ชนิด ได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อย มันสำปะหลัง และไม้ผลเตรียมจะร้องศาลปกครองให้คุ้มครองชั่วคราว
โดยชะลอการแบนพาราควอตและคลอร์ไพริฟอส
ซึ่งตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนนี้ โดยระบุว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังไม่มีมาตรการบรรเทาผลกระทบใด
ๆ ออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกเลิกพาราควอต ซึ่งเป็นสารป้องกันกำจัดวัชพืช หากยกเลิกจะใช้สารหรือวิธีการใดทดแทน
โดยไม่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ดังนั้น เมื่อเกษตรกรได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐ
เกษตรกรจะร้องต่อศาลปกครองแน่นอน
ขณะนี้กรมวิชาการเกษตรได้ส่งรถติดป้ายและประกาศให้เกษตรกรนำพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสไปคืนร้านค้า
เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน สารเคมีทั้ง 2 ชนิด จะเป็นวัตถุอันตรายห้ามครอบครอง
เมื่อถึงกำหนดจะเททิ้ง เพราะหากนำไปคืนร้านค้าต้องเสียค่ารถและร้านค้าก็ไม่คืนเงินที่ซื้อไปด้วย
โดยผู้จำหน่ายแจ้งว่าไม่มีมาตรการออกมาเช่นกันว่าเมื่อทางร้านค้าไปคืนบริษัทผู้นำเข้าและผู้ผลิตจะได้เงินคืน
จึงทำได้เพียงรับสารเคมีจากเกษตรกรไว้ แต่ไม่คืนเงิน
มีรายงานจากกรมวิชาการเกษตรว่าได้ออก
(ร่าง) ประกาศห้ามครอบครอง นำเข้า ผลิต จำหน่าย นำผ่าน
ส่งออกสารพาราควอตและคลอร์ไพริฟอส ซึ่งคณะกรรมการวัตถุอันตรายยกระดับเป็นวัตถุอัตรายชนิดที่
4 ซึ่งมีกรมวิชาการเกษตรต้องออกประกาศมาตรการและกรอบระยะเวลาเก็บคืนสารเคมีทั้ง
2 ชนิด เพื่อทำลายต่อไป โดยตาม (ร่าง)
ประกาศกรมวิชาการเกษตรระบุว่า นับจากวันที่ 1 มิถุนายน เกษตรกรต้องนำไปคืนร้านจำหน่ายใน 90 วัน
ร้านจำหน่ายต้องนำไปคืนบริษัทผู้นำเข้าและผู้ผลิตใน 180 วัน
ส่วนบริษัทผู้นำเข้าและผู้ผลิตจะต้องนำเสนอแผนการเก็บและทำลายต่อกรมวิชาการเกษตรใน
365 วัน เพื่อที่สารวัตรเกษตรจะติดตามได้ว่า
นำไปเก็บที่ใด วิธีการเก็บถูกต้องหรือไม่
รวมทั้งควบคุมให้มีการเผาทำลายตามวิธีการที่ถูกต้องทั้งหมด
ซึ่งอยู่ระหว่างที่อธิบดีกรมวิชาการเกษตรจะลงนาม เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ประกาศกรมวิชาการเกษตรฉบับนี้จึงจะมีผลบังคับใช้.-สำนักข่าวไทย