เตรียมพิจารณาผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ สัปดาห์หน้า

ทำเนียบรัฐบาล 17 เม.ย.-โฆษก ศบค.แถลงพบผู้ป่วยใหม่ 28 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย เตรียมพิจารณาผ่อนคลายมาตรการกึ่งล็อกดาวน์สัปดาห์หน้า WHO เตือน การกลับมาใช้ชีวิตปกติเร็วเกินไป โควิดอาจกลับมาระบาดอีกรอบ


นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์โควิด-19 ว่า มีรายงานผู้ป่วยใหม่ 28 ราย รวมผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 2,700 ราย รักษาหาย 1,689 ราย รักษาตัวอยู่ 964 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวม 47 ราย โดยผู้เสียชีวิตรายล่าสุดเป็น หญิงไทย อายุ 85 ปี อาชีพแม่บ้าน มีโรคประจำตัวคือเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โดยช่วงวันที่ 22 มีนาคม-2 เมษายน มีประวัติได้สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ และมารักษาตัวที่โรงพยาบาลในจังหวัดชุมพร วันที่ 12 เมษายน มีอาการไข้ ไอ เหนื่อยหอบ ใส่ท่อช่วยหายใจ ตรวจพบปอดอักเสบรุนแรง และตรวจยืนยันพบเชื้อโควิด-19 และวันที่ 15 เมษายน อาการแย่ลง เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา

โฆษกศบค. กล่าวว่า จากจำนวนตัวเลขผู้ป่วยใหม่ 28 ราย พบว่ามาจากการสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 16 ราย ไปสถานที่ชุมนุมชน 1 ราย อาชีพเสี่ยง 4 ราย ไม่มีบุคลากรทางการแพทย์ และอยู่ระหว่างสอบสวนโรค 7 ราย ส่วนผู้ป่วยสะสม 2,700 ราย พบใน 5 จังหวัดที่สูงที่สุดได้แก่ กรุงเทพมหานคร 1,371 ราย ภูเก็ต 192 ราย นนทบุรี 148 ราย สมุทรปราการ 108 ราย ยะลา 99 ราย และเมื่อจำแนกอัตราป่วยต่อประชากรหนึ่งแสนคน พบว่า จังหวัดภูเก็ต มีผู้ป่วยมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 46.44 กรุงเทพมหานคร ร้อยละ 24.17 ยะลา ร้อยละ 18.53 ปัตตานี ร้อยละ 12.06 และนนทบุรี ร้อยละ 11.78


“9 จังหวัดยังไม่มีรายงานการรักษาผู้ป่วย ได้แก่ กำแพงเพชร ชัยนาท ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี อ่างทอง และ27 จังหวัดไม่มีรายงานผู้ป่วยใหม่ในช่วง 14 วันที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 3-16 เมษายน ได้แก่ เชียงราย เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี จันทบุรี  นครนายก บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด ราชบุรี ลพบุรี ลำพูน ศรีสะเกษ สมุทรสงคราม สระบุรี สุโขทัย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์  อุทัยธานี หนองคาย และกาฬสินธุ์” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

โฆษกศบค. กล่าวว่า สถานการณ์ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อแล้วรวม 2,182,197 ราย เสียชีวิต 145,521 ราย สหรัฐอเมริกา อยู่ที่อันดับ 1 มีผู้ติดเชื้อ 677,570 ราย ตาย 34,617 ราย ส่วนไทยยังอยู่ที่อันดับที่ 51  ส่วนประเทศอื่นๆ มีผู้ป่วยใหม่เช่น เกาหลีใต้  22 ราย ฟิลิปปินส์ 207 รายอินโดนีเซีย 380 ราย สิงคโปร์ 728 ราย และญี่ปุ่น 605 ราย

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนเรียกร้องให้ผ่อนคลายกฎระเบียบต่าง ๆ ภายหลังจากที่ตัวเลขผู้ป่วยลดลงและประสบปัญหาเศรษฐกิจ โดยองค์การอนามัยโลก( WHO) ออกมาเตือนว่าการกลับมาใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติในหลายประเทศอาจจะยังเร็วเกินไป และการพยายามพลิกฟื้นเศรษฐกิจอาจจะนำไปสู่การระบาดของโควิด-19 ระลอกสอง 


“ถ้าจะยกเลิกล็อคดาวน์ จะต้องพิจารณาดังนี้ ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคภายในประเทศได้แล้ว ระบบสุขภาพต้องสามารถตรวจหาผู้มีอาการของโรค ตรวจหาเชื้อ แยกตัวและทำการรักษา พร้อมทั้งทำการสอบสวนโรค มีความเสี่ยงระดับน้อยที่สุดในสถานที่เสี่ยงมากที่สุดเช่น บ้านพักคนชรา โรงเรียนสำนักงานและสถานที่สาธารณะต้องมีมาตรการป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพ สามารถจัดการความเสี่ยงของโรคจากผู้ที่เดินทางเข้าประเทศได้ และที่สำคัญคนในชุมชนต้องมีความรู้ มีส่วนร่วมและได้รับการสนับสนุนให้มีชีวิตอยู่ภายใต้สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการเกิดโรค” โฆษกศบค. กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า มีหลายเรื่องประเทศไทยสามารถจัดการและดูแลได้ แต่การผ่อนคลายต่าง ๆ ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชน ซึ่งขณะนี้มีการประชุมเพื่อเตรียมข้อมูลจากทั้ง บุคลากรทางการแพทย์ นักวิชาการ ฝ่ายปกครอง และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศบค.

“ตัวอย่างการผ่อนคลายมาตรการกึ่งล็อคดาวน์ เช่น การเปิดร้านตัดผม จะต้องจัดที่นั่งที่นอนสระผมให้ห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร ไม่ให้มีที่นั่งรอในร้าน ใช้บริการไม่เกิน 2 ชั่วโมง โดยไม่มีบริการอื่น ๆ เช่นทำเล็บ งดเว้นบริการที่ต้องใช้อุปกรณ์ร่วมกันที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้ พนักงานต้องใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือทุกครั้งที่ให้บริการ ให้พนักงานหยุดงานเมื่อมีอาการไข้ อาการทางเดินหายใจ รวมถึงต้องทำความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ จัดให้มีเจลแอลกอฮอล์บริเวณทางเข้าร้าน” โฆษกศบค. กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ส่วนตัวอย่างการเปิดห้างสรรพสินค้าจะต้องเปิดร้านที่มีบริเวณชัดเจน เป็นร้านที่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น ร้านโทรศัพท์ ธนาคาร เครื่องใช้ไฟฟ้า จัดที่นั่งรอรับบริการห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร ทยอยขยายการเปิดร้านทุกสัปดาห์เมื่อไม่พบผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับห้าง จำกัดจำนวนคนเข้าไม่เกิน 1 คนต่อตารางเมตร หรือจำกัดระยะเวลาจอดรถ ไม่จัดกิจกรรมที่ให้คนรวมตัวกัน โซนอาหาร จัดที่นั่งห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร คัดกรองและอนุญาตเฉพาะผู้สวมหน้ากากเท่านั้นเข้าห้างได้ 

“ตัวอย่างเหล่านี้ หากทุกคนร่วมมือกันปฏิบัติตัวใหม่อย่างเคร่งครัด ทั้งการใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา การเว้นระยะห่างทางสังคม และถ้าสามารถทำได้ ภาครัฐจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและค่อย ๆ ผ่อนคลายมาตรการลง ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะพิจารณาและสรุปเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง” โฆษกศบค. กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า มีผู้ฝ่าฝืนการประกาศเคอร์ฟิวส์อยู่ โดยมีประชาชนออกนอกเคหสถาน 820 ราย รวมกลุ่มชุมนุมและมั่วสุมจำนวน 109 ราย โดย 5 จังหวัด ที่มีการฝ่าฝืนคำสั่งห้ามออกนอกเคหสถานและรวมกลุ่มชุมนุมมั่วสุมมากที่สุด ได้แก่ ชลบุรี นนทบุรี ปทุมธานี กรุงเทพมหานครและสมุทรสาคร ส่วนจังหวัดมหาสารคาม หนองคาย แม่ฮ่องสอน พิจิตร พังงา ระนอง และเพชรบุรี ไม่มีผู้ฝ่าฝืนคำสั่ง 

“ส่วนคนไทยที่จะเดินทางกลับมาวันนี้(17 เม.ย.) เป็นนักเรียนไทย AFSจากสหรัฐอเมริกา จำนวน 132 คน พรุ่งนี้(18 เม.ย.) 131 คน และวันที่ 19 เมษายน จำนวน 161 คน.-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.พล.7 ของเขมร โดนกระสุนปืนใหญ่ยิงดับ บนช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ

26 ก.ค. – พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ จากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ตลอดวันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ ทหารไทยสามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชา พยายามกลับเข้ามาโจมตีกลับ เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้นคือ พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ. – สำนักข่าวไทย

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

กริพเพน

ทอ. ส่ง F16 – กริพเพน ปฏิบัติการรอบ 2 ทิ้งบอมบ์พื้นที่ทางทหารเขมร

26 ก.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน 2 ลำ ออกปฏิบัติการรอบสอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวนนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปะทะกันดุเดือด โดยทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวนนี้มีการปะทะดุเดือดตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้. – สำนักข่าวไทย

เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ”

26 ก.ค.- เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ” ทหารไทยยึดอาวุธปืน-โดรน 11 รายการ พร้อมมือถือ 7 เครื่อง ใช้ถ่ายคลิปยั่วยุทหารไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า สำหรับปฏิบัติการ ของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดน -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทบ. เชิญผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนรับฟังข้อเท็จจริงชายแดนไทย-กัมพูชา

กทม. 31 ก.ค.- ทบ. เชิญผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนร่วมหารือและรับฟังการชี้แจงข้อเท็จจริง อัปเดตสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังตั้งทีมเฝ้าติดตามหยุดยิงชายแดนไทย-กัมพูชา วันนี้ (31 ก.ค.68) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกโดยกรมข่าวทหารบก ร่วมหารือกับผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนประจำประเทศไทย นำโดยผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย ณ อาคารศรีสิทธิสงคราม ภายในกองบัญชาการกองทัพบก โดยมี พล.ท.กำชัย วงศ์ศรี เจ้ากรมข่าวทหารบก เป็นประธานในการหารือ การหารือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งการจัดตั้ง Interim ASEAN Defence Attaches Monitoring Team (Interim ASEAN DAs Monitoring Team) ในการปฏิบัติหน้าที่สังเกตการณ์สถานการณ์หยุดยิง (Ceasefire) ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งการหารือในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากข้อตกลงหยุดยิง ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 ที่ผ่านมา ซึ่งมีการเห็นพ้องร่วมกันในการจัดตั้งทีมเฝ้าติดตามชั่วคราวของฝ่ายทูตทหารจากชาติสมาชิกอาเซียนโดยเร่งด่วน เพื่อเป็นกลไกเบื้องต้นในการติดตามสถานการณ์และสร้างความไว้วางใจระหว่างทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ในที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งกลไก ASEAN Monitoring Team (AMIT) ในอนาคต […]

“มาริษ” ยันไทยไม่เสียเปรียบกัมพูชาในเวทีนานาชาติ

ก.ต่างประเทศ 31 ก.ค.-“มาริษ” ยันไทยไม่เสียเปรียบกัมพูชาในเวทีนานาชาติ และไม่ได้นิ่งนอนใจเฟคนิวส์ฝั่งกัมพูชา สั่งทูตเดินหน้าแจงทุกกรอบทุกเวที บอกนำทูตต่างประเทศลงดูพื้นที่ชายแดนช้า ห่วงความปลอดภัย ชี้ไปเร็ว ไม่ถือว่าชนะ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงยืนยัน จากสถานการณ์ปัญหาไทย-กัมพูชา ไทยไม่ได้เสียเปรียบ เพราะการชี้แจงอยู่ในกรอบของสหประชาชาติ เราได้ย้ำจุดยืนตั้งแต่ต้น ว่าเรายึดมั่นในสันติวิธีและกฎหมายระหว่างประเทศ กรอบกฎบัตรของอาเซียน แม้มีความพยายามนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC แต่ไม่ได้ออกข้อมติใดๆ และพูดว่าเป็นเรื่องของการเจรจาในระดับทวิภาคีไม่ต้องเอากลับมาในกรอบของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รวมทั้งการที่กัมพูชา พยายามพูดปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาในเวทีที่ปัญหาอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ก็ไม่ได้รับการบรรจุเรื่องนี้ในสเตทเมนท์ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าแม้มีความพยายามบิดเบือนจากกัมพูชาในเวทีต่างๆ แต่กระทรวงการต่างประเทศก็ไม่ได้อยู่นิ่ง เดินหน้ามาตรการทางการทูตโดยเร่งชี้แจงกับประเทศต่าง ๆ ทั้งกรอบทวิภาคี ภาคีในเวทีระหว่างประเทศทั้งหลาย ทั้งดำเนินการจากส่วนกลาง และการดำเนินการ ผานสถานทูตสถานกงสุญใหญ่ทั่วโลก ตั้งแต่เกิดกรณีการรุกราน เช่น ในเรื่องของ UNSC การวางทุ่นระเบิดสังหาร การโจมตีพลเรือน ในฝั่งไทย และประณามไปแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า เมื่อเช้าได้พบกับเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ซึนตนได้พูดให้เห็นถึงภาพต่าง ๆ ในการพบกันกับผูนำกัมพูชาที่มาเลเซีย และบอกว่าเราต้องการเห็นการหยุดยิงที่ไม่มีเงื่อนไข และหยุดยิง เด็ดขาดตามที่ตกลงกัน ซึ่งเรื่องนี้ต้องได้รับความจริงใจจากกัมพูชา […]

ทบ.แจงปม “ปราสาทตาควาย” ยึดไม่ได้ 100% เจอสนามทุ่นระเบิด BM-21 จ่อยิง

31 ก.ค.- ทบ.แจงปมทหารไทยยึด “ปราสาทตาควาย” ไม่ได้ 100% ไม่ใช่ตัวชี้วัดแพ้ชนะ แต่ได้พื้นที่มากกว่าก่อนปะทะ ลั่นยึดเนิน 350 จุดสูงข่มไม่ได้ เจอสนามทุ่นระเบิด BM-21 จ่อยิงหากเคลื่อนกำลังไปตัวปราสาทฯ ชี้ทีมโฆษก ทบ. ไม่ได้รับการประสานจากรัฐบาลก่อนเจรจาหยุดยิงถึงสถานการณ์หน้างาน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า สำหรับพื้นที่การปฏิบัติการทางทหารทั้งหมดมีเพียงปราสาทตาควายที่เดียว มีข้อจำกัด หากจะพูดถึงการควบคุมพื้นที่ เราสามารถควบคุมได้ตามแผน ตามเป้าหมายทางการทหารที่ได้วางไว้ โดยพื้นที่ปราสาทตาควาย ถือเป็นความพยายามสุดท้ายของทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชา ก่อนถึงเวลาหยุดยิง ยอมรับว่า ปัจจุบันเราไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้ 100% เพียงแต่เราได้พื้นที่ควบคุมเพิ่มมากขึ้นก่อนที่จะมีการปะทะ จะเห็นว่าปัจจุบันเราควบคุมพื้นที่ได้ด้วยการใช้อาวุธยิง ซึ่งลักษณะการวางกำลังบริเวณปราสาทตาควายจะอยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง และพื้นที่ที่เป็นจุดสำคัญทางการทหาร ไม่ใช่ตัวปราสาทตาควาย เพราะเป็นพื้นที่ต่ำ แต่เดิมหากเราวางกำลังประจำอยู่ที่ปราสาทตาควาย จะเป็นความไม่ปลอดภัยในเรื่องของการใช้อาวุธจากฝ่ายตรงข้าม เราจึงให้ความสำคัญกับเรื่องของการคุมพื้นที่ ห้วงสุดท้ายสำหรับการใช้กำลัง เราพยายามกระทำต่อเป้าหมายจุดสูงข่ม คือ เนิน 350 ซึ่งอาจจะมองว่าอยู่ในฝั่งของประเทศเพื่อนบ้าน แต่เป็นจุดสำคัญที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติทางทหาร จึงเป็นความสำคัญสูงสุดที่เราจะต้องยึดที่หมายนี้ให้ได้ แต่เวลามีให้เราไม่เพียงพอ ซึ่งอย่างน้อยเราก็สามารถควบคุมพื้นที่ส่วนรวมด้วยอาวุธ ทั้งนี้ เนิน 350 เป็นพื้นที่วางกำลังของทหารกัมพูชา […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย