กรุงเทพฯ 27 ก.พ. – หลังประกาศโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย ก.สาธารณสุข เตรียมเอาผิดผู้ปกปิดข้อมูลการสอบสวนโรค ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 มีโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท
หลังสามีภรรยาสูงวัยปกปิดประวัติการเดินทาง หลังกลับจากฮอกไกโด ทำให้ทั้งคู่และหลานชายวัย 8 ปี ติดเชื้อโควิด-19 บุคลากรทางการแพทย์และคนสัมผัสใกล้ชิดกว่า 100 คน ต้องกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงเฝ้าระวัง และหยุดงาน 14 วัน
ผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ บอกว่า แม้เคสนี้ยังไม่ถูกลงโทษตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ซึ่งล่าสุดมีการประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย ลำดับที่ 14 แต่พวกเขาก็ถูกกระแสสังคมลงโทษไปแล้ว อีกทั้งมีอาการป่วยหนัก ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นอีก พร้อมย้ำการประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ทำงานได้ง่ายขึ้น
เมื่อประกาศโรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย มีผลบังคับใช้ การปกปิดประวัติที่จำเป็นในการสอบสวนโรค จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ในมาตรา 34 (1) มีสาระสำคัญระบุว่า ผู้ที่เป็นโรคติดต่ออันตราย หรือเข้าข่ายต้องสงสัย หรือมารับการตรวจรักษา ต้องเข้าสู่การแยกกัก กักกัน หรือคุมไว้สังเกต ในสถานที่ที่กำหนด จนกว่าจะพ้นระยะติดต่อ ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท
มาตรา 31 ประชาชน ผู้รับผิดชอบในสถานพยาบาล หรือผู้ควบคุมสถานประกอบการ หรือสถานที่อื่นใด เช่น โรงแรม ต้องแจ้งเมื่อพบมีผู้ต้องสงสัยหรือผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่ออันตราย ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 20,000 บาท
มาตรา 40 (2) พาหนะที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่ประกาศเป็นเขตควบคุมโรคจากต่างประเทศ ต้องจอดอยู่ในสถานที่ที่กำหนดไว้เท่านั้น หากฝ่าฝืนมีโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท
การบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ เป็นหนึ่งในมาตรการที่ช่วยให้การควบคุมโรคเข้มข้นขึ้น และไม่เข้าสู่การแพร่ระบาดในระยะที่ 3 เร็วเกินไป
หลังเกิดเคสปกปิดข้อมูลอาการป่วย ทำให้หลายคนตื่นตระหนก เข้าโรงพยาบาลตรวจหาเชื้อโควิด-19 แพทย์ชี้หากยังไม่แสดงอาการ ก็ยากที่จะตรวจพบ และต้องเสียค่าใช้จ่ายหลักพันจนถึงหลายหมื่นบาทโดยไม่จำเป็น ซึ่งข้อมูลโรงพยาบาลและราคาที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ ทีมข่าวตรวจสอบแล้วพบว่า โรงพยาบาลเอกชนยังคงตรวจหาเชื้อโควิด-19 ได้เพียงเบื้องต้น ถ้าต้องการทราบผลแน่ชัด ต้องส่งไปตรวจยืนยันที่ 2 แล็บของรัฐเท่านั้น คือ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และโรงพยาบาลจุฬาฯ. – สำนักข่าวไทย