กรุงเทพฯ 17 ก.พ. – เอ็กซิมแบงก์ดันนโยบายระยะสั้น ระยะยาว สนับสนุนผู้ประกอบการไทย พร้อมช่วยเหลือการลงทุนอีอีซีและอุตสาหกรรม S-curve
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยถึงทิศทางเศรษฐกิจปี 2563 กับบทบาท EXIM BANK ในโอกาสครบรอบ 26 ปี ว่า ปี 2563 เป็นปีแห่งความท้าทายและเป็นปีแห่งการปรับสมดุลของโลก ซึ่งไทยมีความเสี่ยงหลายมิติ เช่น มิติเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ความผันผวนของค่าเงินและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ราคาสินค้าหลายชนิดทรงตัวอยู่ในระดับต่ำเช่นกัน มิติการเมืองและสังคม ความขัดแย้งในหลายประเทศล้วนส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ กำลังซื้อของประชาชนและเศรษฐกิจโลกโดยรวม และมิติสิ่งแวดล้อม ทั้งภัยธรรมชาติและโรคระบาด ส่งผลกระทบต่อการค้าการลงทุนที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก
นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า ธนาคารมีนโยบายระยะสั้น คือ สนับสนุนผู้ประกอบการด้วยเครื่องมือทางการเงิน ทั้งสินเชื่อและประกันความเสี่ยงด้านการค้าการลงทุน รวมทั้งคุ้มครองความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและโปรแกรมสินเชื่อพิเศษต่าง ๆ นโยบายระยะยาว คือ มีบริการทางการเงินเพื่อช่วยผู้ประกอบการไทย โดยสนับสนุนการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าไทย สนับสนุนการลงทุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรม S-curve เพื่อร่วมกันผลักดันภาคส่งออกของไทยปี 2563 ให้กับมาเป็นบวกให้ได้
สำหรับผลดำเนินงานปี 2562 มีสินเชื่อคงค้าง 121,868 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เปิดกิจการ เพิ่มขึ้น 13,279 ล้านบาท หรือ 12.23% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2561 ส่วนการประกันการส่งออกและการลงทุน มีปริมาณสะสมเท่ากับ 121,372 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28,924 ล้านบาท ขณะเดียวกันสำนักงานผู้แทนของ EXIM BANK นครย่างกุ้ง กรุงเวียงจันทน์ และกรุงพนมเปญ ได้เปิดดำเนินการและทำงานร่วมกับทีมไทยแลนด์นำโดยเอกอัครราชฑูตในต่างประเทศแล้ว ส่วนสำนักงานผู้แทน EXIM BANK ในเวียดนามกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการโดยได้ยื่นเอกสารขอเปิดสำนักงานแล้ว.-สำนักข่าวไทย