กรุงเทพฯ 18 ส.ค. – สศช. เผย GDP ไตรมาส 2/68 ขยายตัว 2.8% ปรับเป้า GDP ปี 68 ขึ้นแตะ 2% ชี้ส่งออก-ลงทุนภาคเอกชน-การผลิตภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวต่อเนื่อง ผล tariff ชัดเจนขึ้น ครึ่งปีหลังห่วงขับเคลื่อนลงทุนภาครัฐเอกชน- การสวมสิทธิ์สินค้า-ท่องเที่ยว
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่ 2 ขยายตัวร้อยละ 2.8 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 3.2 ในไตรมาสแรกของปี 2568 โดยเป็นผลมาจากการใช้จ่าย การส่งออกสินค้าขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง การลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัวขณะที่การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล การลงทุนภาครัฐ และการส่งออกบริการขยายตัวชะลอลง รวมครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 3.0 ส่วนเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 คาดว่าจะยังขยายตัวได้ดี แต่จะขยายตัวต่ำกว่าช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี
ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 0.91 สูงกว่าร้อยละ 0.89 ในไตรมาสก่อน แต่ต่ำกว่าร้อยละ 1.07 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาสอยู่ที่ร้อยละ -0.3 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.0 ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 0.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (17.1 พันล้านบาท) เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ 262.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 มีมูลค่าทั้งสิ้น 12.07 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64.2 ของ GDP
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2568 ยังขยายตัวในช่วงร้อยละ 1.8 – 2.3 (ค่ากลางการประมาณการ ร้อยละ 2.0) ชะลอลงจากร้อยละ 2.5 ในปี 2567 ตามแนวโน้มการลดลงของปริมาณการส่งออกสินค้าในช่วงครึ่งหลังของปีที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบ ต่อเนื่องไปยังการผลิตภาคอุตสาหกรรม ท่ามกลางแนวโน้มการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันรษฐกิจไทยยังมีข้อจำกัดและความเสี่ยงจากภาระหนี้สินของครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงความผันผวนของราคาและผลผลิตภาคการเกษตร และความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการค้าโลก อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายลงทุนภาครัฐการขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ และการปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน ทั้งนี้ คาดว่าการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 2.1 และร้อยละ 1.0 ตามลำดับขณะที่มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 5.5 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 0.0 – 0.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.1 ของ GD
นายดนุชา กล่าวเพิ่มเติม ว่าในช่วงครึ่งปีหลัง ประเด็นที่มีความกังวล คือ 1. การลงทุนของภาครัฐและเอกชนที่ต้องขับเคลื่อนให้ขยายตัว ขณะเดียวกันต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้การส่งออกยังคงขยายตัวไก้ท่ามกลางความไม่แน่นอนของ ช่วงรอการพิจารณารายละเอียดภาษีสหรัฐเ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในระยะถัดไป โดยเฉพาะการเตรียมการเรื่อง transshipment อย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้า
- การกำหนดเกณฑ์การคํานวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ หรือ RVC ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของกระทรวงพาณิชย์ และสภาอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสินค้าไทย และยังคงส่งออกผู้สินค้าไปยังสหรัฐได้อย่างต่อเนื่อง และ 3. การท่องเที่ยว ที่จะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ดีขึ้น
ส่วนผลกระทบชายแดนไทยกัมพูชานั้น มองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากไม่ใช่พื้นที่ภาคการผลิต แต่จะกระทบการค้าชายแดน ผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงแรงงานภาคอุตสาหกรรมที่แรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศ แต่กระทรวงแรงงานสามารถจัดหาแรงงานจากชาติอื่นเข้ามาทดแทนได้
ส่วนการปรับลดจำนวนการคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 37 ล้านคน เหลือ 33 ล้านคน จากไตรมาส 2 เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง 12% และนักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมาตามคาดไว้ แต่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อรายจะดีขึ้น โดยตั้งปรับเป้า นักท่องเที่ยวจีนจาก 6 ล้านคน เหลือ 4 คน
ขณะที่การลงทุนภาครัฐ ในแง่เม็ดเงินกระตุ้น แล้วเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้สำนักงบประมาณได้พิจารณารายจ่ายแต่ละโครงการเรียบร้อยแล้ว จึงสามารถจัดซื้อจัดจ้างได้แล้ว ซึ่งคาดว่าเม็ดเงินจะออกได้ที่วางไว้ ซึ่งหากเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตที่ระดับ 2% อย่างต่อเนื่อง นายดนุชากล่าวว่า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีปัญหาด้านโครงสร้างเศรษฐกิข หากจะทำให้เศรษฐกิจโตระดับ 3% จะต้องเร่งปรับโครงสร้างการผลิต ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา 2-3 ปี การผลิตแรงงานที่มีศักยภาพ และเร่งผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงในผลิตเพื่อลดต้นทุนผลิตสินค้า โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่ต้องเน้นผลิต คุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยมาตรการภาษีสหรัฐที่เกิดขึ้นจึง เป็นโอกาสสำคัญในการเร่งปรับโครงสร้างในประเทศ โดยจะต้องเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน
ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังมีแนวคิด มีสนับสนุนนโยบายสวัสดิการในลักษณั Negative Income Tax ที่คาดว่าจะเริ่มใช้ปี 70 นั้น สศช. กำลังเร่งปรับปรุงข้อมูล เส้นแบ่งความยากจนให้เป็นปัจจุบัน คาดจะแล้วเสร็จช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า ซึ่งกระทรวงการคลังสามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ได้ ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้มีการหารือมาระยะหนึ่งแล้ว.-516-สำนักข่าวไทย