กรุงเทพฯ 4 ธ.ค. – “เฉลิมชัย” ระบุยังไม่ขอพูดถึงการดำเนินการของกระทรวงเกษตรฯ หลังคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติเมื่อวันที่ 27 พ.ย. เนื่องจากยังไม่มีเอกสารสรุปผลการลงมติอย่างเป็นทางการมาถึง จึงยังชี้ชัดไม่ได้ว่าหน่วยงานใดต้องปฏิบัติอย่างไร
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ยังรอหนังสืออย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการวัตถุอันตรายในการสรุปผลประชุมเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งจะชี้ชัดว่า กระทรวงเกษตรฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานปฏิบัติต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป สำหรับข้อถกเถียงเรื่องมติคณะกรรมการวัตถุอันตรายวันดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เป็นเรื่องที่ทางคณะกรรมการวัตถุอันตรายต้องชี้แจงให้ชัดเจน การที่ฝ่ายต่าง ๆ พูดกันไปพูดกันมายิ่งทำให้เกิดข้อถกเถียงในสังคม แม้ยังไม่มีการแบนสารเคมีทางการเกษตรทั้ง 3 ชนิด คณะทำงานของกระทรวงเกษตรฯ ยังคงเดินหน้าหาสารและแนวทางกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชแบบผสมผสาน เพื่อลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร รวมถึงมีนโยบายส่งเสริมการทำเกษตรตามมาตรฐาน GAP และเกษตรอินทรีย์ เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้นและประชาชนได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัย
“ขอให้ใจเย็น ๆ ก่อน หากตอบไปตอนนี้ ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนจะยิ่งทำให้เกิดประเด็นทางสังคมโต้กันไปมา จึงขอให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายสรุปอย่างเป็นทางการมาว่าหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งกระทรวงเกษตรฯ ที่เป็นหน่วยปฏิบัติต้องทำอย่างไร ก็จะเร่งดำเนินการตามมติทันที ที่เป็นห่วงมากขณะนี้ คือ ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อทั้งเกษตรกรและผู้บริโภค” นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้านนายสุกรรณ์ สังข์วรรณะ เลขาธิการ สมาพันธ์เกษตรปลอดภัย กล่าวว่า ช่วงบ่ายวันนี้จะนำผู้แทนเกษตรกรที่ปลูกพืชเศรษฐกิจเข้าพบนายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เพื่อสอบถามแนวทางการปฏิบัติ หลังคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติเลื่อนการแบนพาราควอตและคลอร์ไพรฟอสออกไป 6 เดือน และจำกัดการใช้ไกลโฟเซต เนื่องจากขณะนี้เกษตรกรปฏิบัติตัวไม่ถูก แต่เห็นว่าหากมติเป็นเช่นนั้น ต้องดำเนินมาตรการจำกัดการใช้ทั้ง 3 สารตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5 ฉบับ ซึ่งมีผลบังคับใช้วันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา ดังนั้น กรมวิชาการเกษตรต้องอบรมเกษตรกรการใช้สารเคมีการเกษตรทั้ง 3 ชนิดต่อ จากเดิมอบรมไปกว่า 466,000 คน จากเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ 6 ชนิด ประมาณ 1.5 ล้านคนเพื่อที่เกษตรกรจะได้ใช้สารเคมีทางการเกษตรได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทำให้เกิดความปลอดภัยทั้งเกษตรกรและผู้บริโภคทั้งประเทศ.-สำนักข่าวไทย