รร.แกรนด์ไอแอทฯ 20 พ.ย. – รัฐมนตรีคลังเผยนักลงทุนต่างชาติหลั่งไหลปักหมุดอีอีซี “สุริยะ” ยอมรับต่างชาติต้องการใช้พื้นที่นับหมื่นไร่ตั้งโรงงาน เลขาธิการอีอีซี ย้ำทุกคนเข้าทำงานมีประกันสุขภาพรักษาพยาบาลครบวงจร
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมมนา “EEC Next ทุนไทย-เทศ ปักหมุด EEC“ ยอมรับว่าหลังจากรัฐบาลวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้วยการพัฒนาเขตอีอีซี และมีความคืบหน้าต่อเนื่องจากการเร่งรัดของรัฐบาล ทำให้นักลงทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาติดต่อ เพื่อเข้ามาขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง นับเป็นโอกาสของไทยในฐานะประตูสู่อาเซียน ในส่วนของสำนักงานอีอีซี ต้องทำให้ภาคธุรกิจทั้งนักลงทุนไทยและต่างประเทศมองเห็นความชัดเจน เพื่อตัดสินใจลงทุนจริงจัง เขตอีอีซี ไม่ใช่เพียงแค่นำเงินลงทุนเข้าประเทศ แต่ต้องการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาถ่ายทอดจากต่างชาติ
ขณะที่รัฐบาลต้องเตรียมพร้อมทั้งการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาสาธารณูปโภค การเตรียมพร้อมพลังงานป้อนโรงงานอุตสาหกรรม ได้เตรียมพร้อมรองรับทุกแผนงานเป็นไปตามแผนทุกด้าน หลังจากนี้ต้องขับเคลื่อนให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะการตัดสินใจลงทุนต้องเริ่มเกิดขึ้น ในการพัฒนาบุคลากร รองรับการทำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาลงทุน การพัฒนาสภาพแวดล้อมรองรับการตั้งนิคมอุตสาหกรรม การดูแลขยะอุตสาหกรรม ขยะของเมืองเติบโต การดูแลด้านการแพทย์ หากเขตอีอีซี สร้างความเชื่อมั่นดึงนักลงทุนเข้าประเทศจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศ เขตอีอีซี จึงเป็นกลไกสำคัญในการสร้างประเทศ เมื่อไทยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวต้องพึ่งพาการส่งออกถึงร้อยละ 70 เอสเอ็มอี เอกชนรายย่อย ย่อมได้ผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว เพราะยอดขายลดลงต้องปรับลดแรงงาน ปรับลดต้นทุน
“รัฐบาลต้องออกมาตรการดูแลเกษตรกร เอสเอ็มอี คนตัวเล็ก ให้มีกำลังซื้อผ่านมาตรการระยะสั้น ไม่ใช่โยนเงินให้อย่างเดียว สำหรับมาตรการพยุงเศรษฐกิจที่เตรียมออกมาเป็นแพ็กเกจครั้งนี้ต้องดูแลทุกกลุ่ม เพื่อให้เกิดผลในวงกว้าง ทั้งประชาชน เอกชนรายย่อย และผู้ประกอบการ คาดว่าสรุปได้เร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ ยังต้องปูพื้นฐานระยะยาว ทำให้ประเทศแข็งแรงที่สุด ด้วยการหันมาเน้นดูแลเศรษฐกิจในประเทศ เพื่อให้พึ่งพาตนเองได้ ยอมรับว่าเศรษฐกิจเติบโตช้าลง แต่ไทยยังไม่ถึงกับหดตัว หากโครงสร้างพื้นฐานของไทยพร้อมจะเป็นแม่เหล็กดึงนักลงทุนเข้าประเทศ“ นายอุตตม กล่าว
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อให้เกิดลงทุนจริงผ่านความร่วมมือแบบประชารัฐและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับการลงทุนของรัฐบาล คาดว่านักลงทุนต่างชาติ ทั้งจีน ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศตัดสินใจเข้ามาลงทุนปี 2563 และต้องการใช้พื้นที่นับหมื่นไร่ เกินเป้าหมายจากที่เตรียมพื้นที่ 6,500 ไร่ รองรับการลงทุนภาคอุตสาหกรรมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมใหม่ กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้เสนอให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาแผนพัฒนาระยะปานกลาง ระยะยาวระหว่างปี 2562-2571 หวังผลักดันอุตหสกรรมกลุ่มเป้าหมาย ทั้งการตั้งศูนย์การผลิตอาหารแห่งอนาคตแห่งอาเซียน การส่งเสริมกลุ่มยานยนต์แห่งอนาคต การพัฒนาระบบราง เพื่อย้ายฐานการผลิตระบบรางมายังไทย
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ยอมรับว่า ปัจจุบันบุคลากรยังไม่ตรงกับความต้องการของตลาด จึงมุ่งเน้นพัฒนานักเรียนอาชีวะรองรับความต้องการของเอกชนในเขตอีอีซี และพบว่านักเรียนยังรับข้อมูลข่าวสารไม่ครบถ้วน หลายคนต้องการเรียนด้านบัญชี ขณะที่ปัจจุบันมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์จัดทำบัญชีรองรับการทำบัญชีงบดุลทั้งหมดแล้ว จึงต้องเปลี่ยนไปเรียนด้านวิเคราะห์ข้อมูลการเงิน การบริหารจัดการข้อมูลการเงิน ดังนั้น แรงงานยุคใหม่ต้องปรับตัวรองรับกระแสโลกที่เปลี่ยนไป จากนี้ไปจึงต้องร่วมกับสถาบันการศึกษาเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาบุคลากรให้ตรงกับความต้องการภาคอุตสาหกรรม
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) กล่าวว่า การลงทุนภาคเอกชนในการพัฒนาด้านการศึกษาสัดส่วนร้อยละ 50 สามารถนำค่าใช้จ่ายหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 2.5 เท่าของค่าใช้จ่าย เพื่อส่งเสริมให้เอกชนมาร่วมลงทุน สำหรับความคืบหน้าพัฒนาเขตอีอีซี การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะก่อสร้างเสร็จในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า หลังจากนั้นเฟสต่อไปต้องดูแลด้านสังคม การเติบโตของเมืองในช่วง 20 ปีข้างหน้า และการพัฒนาระบบสาธารณสุขให้พร้อม ทุกคนเข้าไปทำงานอยู่ในเขตอีอีซี ต้องมีประกันสังคม ประกันสุขภาพทุกชนชั้น มีการดูแลสุขภาพอย่างมีระบบ รวมทั้งต้องมีเครือข่ายรักษาศูนย์รวมระบบเดียวไม่ต้องส่งต่อไปต่างจังหวัด ผ่านการรักษาพยาบาลด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างครบถ้วน
ยอมรับว่าในเขตอีอีซีปัจจุบันมีขยะสะสมถึง 6 ล้านตันใน 3 จังหวัดภาคตะวันออก แต่ยังจำกัดขยะไม่ถูกต้อง ขณะนี้ระยองโมเดลได้สร้างโรงจำกัดขยะ 500 ตันต่อวัน และโรงไฟฟ้าชุมชน โดย ปตท.ร่วมลงทุน และพร้อมขยายเพิ่มในเฟสต่อไปใช้เงินลงทุน 12,000 ล้านบาท เพื่อดูแลขยะในเมืองใหม่อีอีซี ระยะยาว เพื่อให้ดูแลเมืองอย่างยั่งยืน ทั้งระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา เพื่อจำกัดขยะโดยไม่ต้องฝังกลบเหมือนกับปัจจุบัน และนำขยะมาใช้ประโยชน์ผ่านโรงไฟฟ้าสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในเขตอีอีซี.-สำนักข่าวไทย