อุดรธานี 24 ต.ค. – ที่ จ.อุดรธานี มีคุณยายอายุ 70 ปีฟื้น ญาติๆ ทั้งดีใจและตกใจ เหตุเกิดขึ้นขณะที่สามี พร้อมลูกหลานและญาติ เตรียมนำร่างผู้ตายเข้าเตาเผา เพื่อทำพิธีฌาปนก
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านแห่งหนึ่ง หมู่ 8 บ้านอ้อมแก้ว ต.บ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ที่จัดงานศพของคุณยายพินิจ โสภาจร อายุ 70 ปี ที่กลับฟื้นขึ้นมา ทั้งที่ญาติๆ กำลังนำศพทำพิธีฌาปนกิจ และนำกลับมาบ้าน พบกับลูกหลานและญาติๆ ที่มาร่วมงานศพพากันดูแล หวังให้มีร่างกายที่อบอุ่น หลังนำร่างแช่ในโลงเย็นบรรจุศพเกือบ 3 วัน ขณะที่ญาติบางคนมาจากต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ จับกลุ่มคุยถึงเรื่องที่คุณยายพินิจฟื้นขึ้นมา
นางบุษบา โสภาจร อายุ 46 ปี ลูกสาวคุณยายพินิจ เล่าเหตุการณ์เหลือเชื่อว่า แม่เสียชีวิตเมื่อเวลา 01.00 น. ของวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งลูกหลานต่างช่วยจัดงานบำเพ็ญกุศลตามประเพณี และเมื่อวานนี้ (23 ต.ค.) เวลาประมาณ 13.00 น. เคลื่อนศพแม่ออกจากบ้านไปยังวัดอัมพะวัน โดยมีพิธีการตามปกติเหมือนงานศพทั่วไป มีนายกเทศมนตรี ต.บ้านเชียง และญาติพี่น้องมาร่วมพิธี เมื่อถึงพิธีการขั้นสุดท้าย ก่อนนำร่างแม่เข้าเตาเผาที่เมรุ ทางพิธีกรประกาศให้พ่อของตนมารดน้ำหอมหน้าศพ แต่ขณะที่พ่อกำลังรดน้ำหอม ปรากฏว่าแม่ลืมตาขึ้นมา ทำให้พ่อร้องดังลั่นวัด บอกว่าแม่ยังมีชีวิต แต่ญาติๆ และคนที่ร่วมงานไม่เชื่อ คิดว่าพ่อบ้า จึงพาพ่อไปหลบข้างโบสถ์ ขณะที่น้องชายขึ้นมาเห็นแม่ลืมตาอีกคน จึงรีบนำร่างแม่ออกจากโลง และเรียกหน่วยกู้ชีพโรงพยาบาลหนองหาน มาช่วยปั๊มหัวใจแม่ ท่ามกลางความตกใจของผู้ร่วมงาน ก่อนรีบนำร่างแม่ส่งโรงพยาบาลหนองหานทันที แต่เมื่อถึง แพทย์ที่โรงพยาบาลบอกว่า รับไว้รักษาไม่ได้ เนื่องจากเซลล์สมองตายแล้ว ญาติจึงนำร่างแม่กลับมาไว้ที่บ้าน และช่วยกันทำให้ร่างกายแม่จากที่เย็นให้อบอุ่นขึ้น
ส่วนนายถวิล โสภาจร อายุ 73 ปี สามีของคุณยายพินิจ บอกทั้งที่ยังไม่หายตกใจว่า ภรรยาป่วยเป็นโรคคอพอกตั้งแต่เด็ก หลังจากอายุ 50 ปี คอก็เริ่มใหญ่ขึ้น ตนเองพาไปรักษาทั้งยาไทยและยานอก รักษา 20 ปี อาการก็ทุเลามาเรื่อย แต่พอย้อน 10 วันที่ผ่านมา ภรรยามีอาการเป็นไข้ มีเสมหะติดลำคอ หายใจไม่ปกติ จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลหนองหาน หมอใช้สายยางดูดเสมหะออก ส่งต่อไปยังโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ภรรยาอยู่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีได้ 3-4 วัน หมอบอกว่า สมองบวม ต้องรักษาต่ออีก 3-4 วัน หลังจากนั้นอาการภรรยาก็ทรุดหนัก หมอถามว่าจะให้กระตุ้นหัวใจไหม ตนปรึกษากับลูกๆ ว่า ถ้าแม่สิ้นชีวิตก็ให้มาอยู่บ้าน ทางโรงพยาบาลจึงส่งภรรยาที่บ้าน 19.00 น. วันที่ 19 ตุลาคม ซึ่งหมอให้ยาไว้เข็มหนึ่ง บอกว่าาภรรยาทรมานให้ฉีดยา แต่ตนไม่ฉีด ถ้าไปก็ขอให้สงบ กระทั่งวันที่ 20 ตุลาคม เวลาประมาณ 01.00 น. ภรรยาก็จากไป
จากนั้น จัดพิธีบำเพ็ญกุศลตั้งแต่วันที่ 20-23 ตุลาคม ทั้ง 3 วัน ร่างภรรยาแช่อยู่ในโลงเย็น ตนเป็นคนสุดท้ายที่รดน้ำหอมให้ภรรยา และบอกกับภรรยาว่า ถ้าเกิดใชาติหน้าให้เกิดเป็นลูกมหาเศรษฐี อย่าให้ทุกข์ยากแบบนี้ พอรดน้ำหอมได้ทีเดียว เห็นภรรยาลืมตาขึ้นมา ตนทั้งดีใจและตกใจ บอกกับลูกและญาติๆ ที่มาร่วมงานว่า แม่ลืมตาแล้ว และตนก็ได้โอบกอดภรรยา แต่ลูกๆ มาดึงตนไปไว้ข้างโบสถ์ เพราะนึกว่าตนบ้า แต่ตนไม่ได้บ้า แล้วลูกชายก็ขึ้นมาเห็นแม่เขาลืมตาจริง จึงรีบแจ้งหน่วยกู้ชีพเทศบาลฯ มาช่วยปั๊มหัวใจทันที ตนดีใจมาก คิดว่าภรรยาไม่ตายอยู่แล้ว เพราะอยู่ในโลงเย็นมา 3 วัน ร่างไม่แข็ง แต่ตอนนี้หมอไม่รับ บอกว่าสมองตายแล้ว แต่ตนเองยืนยันว่าจะไม่ยอมเผาภรรยาแน่นอน จะรอจนกว่าภรรยาร่างแข็งถึงจะเผา แต่หากฟื้นกลับมาเป็นปกติ ก็จะทำบุญครั้งใหญ่ให้เต็มที่ – สำนักข่าวไทย