อุดรธานี 20 ส.ค.- ผู้ว่าฯ อุดรธานี เข้าเยี่ยมนักเรียน ป.6 ถูกกระบะทับในโรงเรียน กำชับเข้มมาตรการป้องกันเหตุซ้ำ ขณะที่เด็กได้รับบาดเจ็บ กระดูกเชิงกรานแตก ล่าสุดปลอดภัยแล้ว ด้านคู่กรณีเปิดใจยอมรับผิด อ้างมองไม่เห็นจริงๆ
ความคืบหน้ากรณี นักเรียนชั้นป.6 โรงเรียนชื่อดังในจังหวัดอุดรธานี ถูกสามีของครูในโรงเรียนขับกระบะทับร่าง ขณะนั่งรอผู้ปกครองมารับหลังเลิกเรียน บริเวณลานกีฬาของโรงเรียน ทำให้เด็กได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกเชิงกรานแตก เหตุเกิดเมื่อช่วงเย็นวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยหลังเกิดเหตุ ผู้ปกครองได้มาร้องเรียนสื่อมวลชนหวั่นจะไม่ได้รับความเป็นธรรม
วันนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี พร้อมด้วยผู้อำนวยการโรงเรียนฯ เดินทางมาเยี่ยมนักเรียนที่บาดเจ็บ โดยทางผู้ว่าฯ ได้มอบกระเช้าให้กำลังใจครอบครัวพร้อมกำชับให้ผู้บริหารโรงเรียน มีมาตรการเข้มเรื่องรถเข้าไปโรงเรียนมากกว่านี้ ขณะที่การสอบถามอาการกับทีมแพทย์และพยาบาล พบว่าสภาพร่างกายของน้องอยู่ในเกณฑ์ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะสภาพจิตใจที่ฟื้นตัวได้มาก จากการดูแลของครอบครัวและทีมแพทย์
ขณะที่ ผอ.โรงเรียน บอกว่าในส่วนของการเรียน ช่วงที่รักษาตัวอยู่ ทางโรงเรียนจะให้ครูมาสอนและเอาใบงานมาส่งถึงห้องที่รักษาตัว เพื่อให้น้องเรียนทันเพื่อน ขอให้คุณพ่อและคุณแม่สบายใจได้ ขณะที่คู่กรณีพร้อมจะรับผิดชอบทุกอย่าง โดยอ้างว่ามองไม่เห็นเด็กจริงๆ ส่วนเรื่องคดี ตร.ยังไม่ตั้งข้อหา ต้องรอดูการรักษา หากเกิน 22 วัน ตร.จะแจ้งข้อหา ขับรถประมาทจนทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส
ด้านแม่ของน้องตังค์ เปิดเผยว่า ขณะนี้อาการของน้องปลอดภัยแล้ว แพทย์ระบุว่าจำเป็นต้องพักฟื้นต่ออีกประมาณ 3 สัปดาห์ เพื่อให้กระดูกเชิงกรานเชื่อมติดกันตามธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด ส่วนคู่กรณี ได้รับปากว่าจะดูแลและเยียวยาอย่างเต็มที่ พร้อมขอโทษ ซึ่งในฐานะผู้ปกครองไม่ได้ติดใจเอาความ เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และอยากให้เป็นกรณีสุดท้ายที่เกิดขึ้นภายในบริเวณโรงเรียน จึงอยากฝากให้โรงเรียนทุกแห่ง หามาตรการด้านความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนภายในโรงเรียนอย่างจริงจัง
ทางด้านคนขับรถกระบะ เปิดใจว่าตั้งแต่วันเกิดเหตุตนได้ยอมรับผิด และพร้อมจะช่วยเหลือ เยียวยา และดูแลผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ และขอสัญญาว่าจะดูแลให้ถึงที่สุด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยากกล่าวคำขอโทษและขอรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กนักเรียนครั้งนี้ ส่วนสังคมที่มองว่าเป็นความประมาท ก็ยอมรับว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ในขณะนั้นยอมรับว่า มองไม่เห็นจริง ๆ -สำนักข่าวไทย
