เกษตรกรเตรียมบุก ก. เกษตรฯ คัดค้านยกเลิก 3 สาร

กรุงเทพฯ 17 ต.ค. – กลุ่มเกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจหลักเตรียมบุกกระทรวงเกษตรฯ คัดค้านเลิก 3 สารเคมี ขณะที่นักวิชาการจุฬาฯ ขอให้ผู้บริหารบ้านเมืองใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พิจารณาสารเป็นรายชนิด เนื่องจากวิธีใช้และระดับพิษต่างกัน การตีขลุมจะทำให้เกษตรกรขาดเครื่องมือประกอบอาชีพ


นายสุกรรณ์ สังข์วรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย กล่าวว่า วันที่ 21 ตุลาคม เวลา 10.00 น. กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก 6 ชนิด ได้แก่ อ้อย ปาล์มน้ามัน ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพด และไม้ผลจะร่วมกันแถลงข่าวที่โรงแรมเอเชีย เพื่อชี้แจงข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับผลกระทบต่อเกษตรกร หากรัฐยกเลิกใช้สารเคมี 3 ชนิด โดยเฉพาะพาราควอตเป็นสารกำจัดวัชพืชที่มีประสิทธิภาพและราคาถูก อีกทั้งจะแสดงข้อมูลแย้งเอ็นจีโอที่ระบุว่าพาราควอตตกค้างในพืชผักเป็นเรื่องเท็จ เนื่องจากพาราควอตมีฤทธิ์เผาไหม้ เกษตรกรใช้ฉีดกำจัดหญ้าเท่านั้น ไม่ได้ฉีดใส่ต้นผักหรือไม้ผล ล่าสุดผู้แทนเอ็นจีโอ กล่าวว่า มีเกษตรกรใช้เครื่องพ่นยากำลัง 6 สูบฉีดพาราควอตต้นทุเรียนนั้น แสดงให้เห็นแล้วว่าสร้างความน่ากลัวเกินเหตุ เพราะการฉีดยาฆ่าหญ้าใช้เครื่องพ่นขนาดเล็กและจะระวังไม่ให้ถูกไม้ประธาน เพราะต้นไม้จะเสียหาย

ส่วนช่วงบ่ายจะไปที่กระทรวงเกษตรฯ เพื่อพบนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อนำเสนอข้อมูลการใช้สารเคมีของเกษตรกรและขอให้แก้ปัญหานี้ในฐานะที่เป็นผู้บริหารสูงสุดของกระทรวงเกษตรฯ มีหน้าที่ต้องดูแลเกษตรกร กลุ่มเกษตรกรเชื่อว่าการเร่งเดินหน้ายกเลิกใช้สารเคมี 3 ชนิดเป็น “ทฤษฎีสมคบคิด” ของ 3 กลุ่ม คือ องค์กรที่อ้างว่าทำทุกอย่างเพื่อประชาชน นักการเมืองโกหกที่ต้องการให้แบนสารนี้และให้ใช้สารทดแทนซึ่งมีราคาแพงกว่า โดยตั้งบริษัทนำเข้าสารเคมีทดแทนไว้แล้ว และนักวิชาการที่ให้ข้อมูลบิดเบือน การที่กลุ่มบุคคลนี้ประกาศว่าประเทศไทยอาบยาพิษส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตร จึงไม่ได้เป็นการทำเพื่อเกษตรกร ทำให้เกิดความขัดแย้งวุ่นวายในสังคม


“รัฐจะให้เกษตรกรเลิกใช้พาราควอต ขณะที่นำเข้าผักและผลไม้จำนวนมากจากจีนซึ่งเป็นประเทศที่ใช้พาราควอต ดังนั้น หากเกรงว่าพาราควอตเป็นพิษ คนไทยยังต้องบริโภคพืชผักจากประเทศอื่นที่ใช้พาราควอตอยู่ ขอเรียกร้องให้ผู้บริหารนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์มาแสดงให้ประชาชนทั้งประเทศรับทราบและมีส่วนในการตัดสินใจ เนื่องจากที่ผ่านมาเอ็นจีโอออกมาให้ข้อมูลฝ่ายเดียว ขณะที่กรมวิชาการเกษตรซึ่งกำกับดูแลการใช้สารเคมีทางการเกษตรไม่ได้นำเสนอข้อมูลทางวิชาการใด ๆ เลย” นายสุกรรณ์ กล่าว

นายเจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ควรแยกการพิจารณาสารทั้ง 3 ชนิด เนื่องจากเป็นสารคนละประเภท ระดับความเป็นพิษไม่เท่ากัน และวิธีการใช้ให้เหมาะสมก็แตกต่างกัน โดยคลอร์ไพรีฟอสเป็นยาฆ่าแมลงที่มีระดับความเป็นพิษปานกลาง หากใช้ไม่เหมาะสมอาจจะมาถึงผู้บริโภคได้ หากรัฐต้องการยกเลิกสามารถยกเลิกได้เลย ส่วนพาราควอต เป็นยาฆ่าหญ้า ซึ่งวิธีการใช้ไม่ได้ทำให้ส่งผลตกค้างมาสู่ผู้บริโภค จึงควรกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้ใช้ได้อย่างเหมาะสม ได้แก่ การอบรมเกษตรกร รวมทั้งมีระเบียบการเก็บรักษาไม่ให้เสี่ยงเป็นอันตราย สำหรับยาฆ่าหญ้าอีกชนิด คือ ไกลโฟเซต องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาต (FAO) จัดว่าเป็นสารที่ใช้ได้ โดยไม่ก่อให้อันตรายต่อสุขภาพ เพราะมีระดับความเป็นพิษต่ำประเทศต่าง ๆ ที่ต้องการยกเลิกใช้พาราควอตมักนิยมใช้ไกลโฟเซตเป็นสารทดแทน จึงไม่มีความจำเป็นต้องยกเลิก


นายเจษฎา กล่าวว่า ทางออกที่รัฐควรเร่งทำ คือ การจัดเวทีให้ผู้แทนฝ่ายหนุนและต้านการใช้นำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มานำเสนอให้ประชาชนรับทราบ ซึ่งเป็นวิธีการที่นานาอารยะประเทศใช้แก้ปัญหา กรณีที่สังคมมีความเห็นไม่ตรงกันแล้วให้สังคมมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แต่ต้องเป็นการนำเสนอปัญหา ผลกระทบ และทางแก้ไขที่เป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลเชิงประจักษ์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเวทีตอบโต้กล่าวหากันไปมา ซึ่งปรากฏในโซเชียลมีเดียเป็นเวลานานแล้ว

“ขณะนี้พบว่าเมื่อฝ่ายหนึ่งหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาตอบไม่ได้ ก็ใช้วิธีกล่าวหาตัวบุคคล ใครที่แสดงความเห็นว่าต้องการใช้สารเคมีทางการเกษตรกลายเป็นผู้ร้าย โดยไม่ได้คำนึงว่าเกษตรกรยังจำเป็นต้องมีเครื่องมือในการประกอบอาชีพ หากผู้บริหารรู้สึกห่วงใยเรื่องความปลอดภัยควรรับฟังข้อมูลรอบด้าน การกล่าวว่าผู้บริหารไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง จึงเป็นคำพูดที่น่ากังวลมาก เนื่องจากปัญหาสำคัญผู้บริหารต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องในการตัดสินใจ ใช้อารมณ์และความรู้สึกเท่านั้นไม่ได้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะสายเกินไปหรือไม่เนื่องจากคณะกรรมการวัตถุอันตรายจะประชุมวันที่ 22 ตุลาคมนี้ ขณะนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบยังโยนกันไปมาและเลี่ยงที่จะแก้ปัญหา ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด คือ เกษตรกรทั้งประเทศ” นายเจษฎา กล่าว.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง