ดีเอสไอ โชว์ผลงานปิดคดีนายทุนรุกที่อุทยานสิรินาถ

ดีเอสไอ 27 ก.ย.- ดีเอสไอโชว์ผลงานปิดคดีรุกที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ จังหวัดภูเก็ต หลังศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย และมีคำสั่งเพิกถอนที่ดินกลับเป็นเขตอุทยาน 93 ไร่ เรียกความเสียหายคืนรัฐได้กว่า 800 ล้านบาท


พันตำรวจเอกไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาในคดีบุคคลทำการบุรุก ยึดถือครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งคดีนี้เป็นคดีพิเศษที่ดีเอสไอ ได้รับการร้องขอจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2555 ขอให้ตรวจสอบกรณีตรวจพบมีบุคคลทำการบุกรุก ยึดถือครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ จังหวัดภูเก็ต และมีเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน คือ โฉนดที่ดิน แสดงกรรมสิทธิในที่ดินดังกล่าว 


ซึ่งดีเอสไอได้ตั้งคณะพนักงานสืบสวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานโดยละเอียดพบว่ามีมูลความผิดทางอาญา จึงเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการคดีพิเศษ ในการประชุมครั้งที่ 1/2557 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2557 และที่ประชุมได้มีมติให้ กรณีการบุกรุกยึดถือครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถและในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขารวก – เขาเมือง อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เป็นคดีพิเศษ และมีมติให้มีพนักงานอัยการมาร่วมสอบสวนในเรื่องดังกล่าวด้วย

 

ซึ่งทางการสอบสวน พบการกระทำความผิด 4 ราย ต่างกรรมต่างวาระ จึงมีการแยกการสอบสวนเป็นรายคดี โดยคดีนี้รับเป็นคดีพิเศษที่ 19/2558 เป็นกรณีการออกเอกสารสิทธิตามโฉนดที่ดิน เลขที่ 42053 และ 42054 ตำบลสาคู อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต คิดเป็นเนื้อที่รวม 93 ไร่ มีการอ้างหลักฐานแจ้งการครอบครอง ส.ค.1 เพื่อใช้ประกอบในการขอออกเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดิน ซึ่งจากสอบสวนพบว่า เอกสาร ส.ค.1 ที่ใช้กล่าวอ้างเป็นที่ดินคนละพื้นที่กับจุดที่มีการออกโฉนดที่ดิน และจากการอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศโดยผู้เชี่ยวชาญพบว่าที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุมีสภาพเป็นป่า ทางคดีพบมีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลเกี่ยวข้องในการกระทำผิดหลายคนและเป็นความผิดหลายฐานความผิด 


โดยอธิบดีดีเอสไอ ได้มีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา รวม 8 คน ในความผิดฐานร่วมกันยึดถือหรือครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติ, ร่วมกันยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออาศัยในที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ โดยได้ยึดถือครอบครองเป็นเนื้อที่เกินกว่า 25 ไร่, ร่วมกันเข้ายึดถือครอบครองป่าที่ไม่ได้จำแนกไว้เป็นประเภทเกษตรกรรมเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยได้ยึดถือครอบครองเป็นเนื้อที่เกินกว่า 25 ไร่, ร่วมกันยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐโดยไม่มีสิทธิครอบครองและโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยได้ยึดถือครอบครองเป็นเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ เป็นการทำลาย ทำให้เสียหาย เสื่อมสภาพแก่อุทยานแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าและที่ดินของรัฐ และไม่ได้รับอนุญาตหรือได้รับยกเว้นใดๆ ตามกฎหมาย, ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม และแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ส่งพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

ต่อมาพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาเป็นจำเลยต่อศาลอาญา และเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาเรื่องนี้ในคดีหมายเลขแดงที่ อ.2513/2562 พิพากษาว่า นายเอนก ลีประชา (ประชา) จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง, 72 ตรี วรรคสอง พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 มาตรา 16(1), 24 ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 (เดิม), 268 วรรคแรก (เดิม), 83 การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันเข้ายึดถือครอบครองป่าและที่ดิน เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามฐานร่วมกันยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินอันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ โดยกระทำเป็นเนื้อที่เกินกว่า 25 ไร่ ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 12 ปี ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงาน ผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 15 ปี 

ทางนำสืบในชั้นพิจารณานับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษหนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี และมีคำสั่งให้จำเลยที่ 3 คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยที่ 3 กับพวก ออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตอุทยานแห่งชาติและเขตป่า และให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 42053, 48252, 48253, 42054 ตำบลสาคู อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ยกฟ้องข้อหาอื่น และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 

กรณีดังกล่าว เป็นผลสำเร็จในการดำเนินคดีของดีเอสไอจากการทุ่มเทสรรพกำลังและการบูรณาการร่วมกันระหว่างพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีพิเศษ 4 ในการนำสืบพยานหลักฐานต่อศาล รวมทั้งการทำงานแบบสหวิชาชีพ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล ในการปกป้องและรักษาประโยชน์ให้กับรัฐ โดยเฉพาะที่ดินซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมอุทยาน สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้กว่า 93 ไร่ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 800 ล้านบาท (ตามราคาซื้อขายที่ดินแปลงพิพาท)

ทั้งนี้ หากประชาชนมีเบาะแสเกี่ยวกับการบุกรุกที่ดินของรัฐ สามารถแจ้งเบาะแสมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือโทร.สายด่วน DSI Call Center 1202 (โทร.ฟรีทั่วประเทศ) โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษจะรักษาข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ.-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ไม่เอาไว้! ต่างด้าวสร้างปัญหาให้บุคลากรการแพทย์เมืองปาย

ผบช.สตม. ลั่น ไม่เอาไว้! ต่างด้าวสร้างปัญหาให้บุคลากรการแพทย์เมืองปาย เพิกถอนใบอนุญาต ผลักดันออกนอกประเทศทันที

ตรวจสอบ The Park เขาหลัก งบก่อสร้าง 140 ล้าน คุ้มค่าหรือไม่?

สำนักข่าวไทย ได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านให้ช่วยเข้าไปตรวจสอบการก่อสร้างโครงการศูนย์กลางการท่องเที่ยวและนันทนาการชายฝั่งแห่งเมืองพังงา หรือ The Park เขาหลัก ริมหาดบางเนียง หลังมีข้อมูลว่าเป็นโครงการที่ก่อสร้างด้วยงบกว่าร้อยล้านบาท แต่ปัจจุบันกลับไม่ได้ใช้ประโยชน์ และถูกปล่อยให้อยู่ในสภาพรกร้าง

ลูกสาวสารภาพจุดไฟเผาพ่อวัย 73 ดับคากระท่อม

ลูกสาวเปิดปากสารภาพจุดไฟเผาพ่อวัย 73 ปี เสียชีวิตในกระท่อม ข้างลานรับซื้อข้าวเปลือก ต.โนนศิลาเลิง อ.ฆ้องชัย จ.กาฬสินธุ์

พิรงรองคุก2ปี

คุก 2 ปี “พิรงรอง” กสทช. คดี “ทรู” ฟ้องกลั่นแกล้ง

ศาลสั่งจำคุก 2 ปี “พิรงรอง” กรรมการ กสทช. ไม่รอลงอาญา ผิดมาตรา 157 ชี้มีเจตนากลั่นแกล้ง “ทรูไอดี” ให้ได้รับความเสียหาย กรณีออกหนังสือเตือนโฆษณาแทรกในทีวีดิจิทัล

ข่าวแนะนำ

ตัดไฟเมียนมา

ตัดแขนขาเมียนมา ราคาน้ำมันพุ่ง-จำกัดการซื้อ

เข้าสู่วันที่ 3 สำหรับการตัดไฟฟ้า สัญญาณอินเทอร์เน็ต และระงับการส่งน้ำมัน จากฝั่งแม่สอดของไทยไปเมืองเมียวดีของเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำมันในฝั่งเมียวดี

หมายจับ สส.ปูอัด

“สส.ปูอัด” เงียบหาย หลังถูกออกหมายจับข่มขืนสาวไต้หวัน

“สส.ปูอัด” เงียบหาย ไม่รับสายสื่อ หลังถูกออกหมายจับข่มขืนสาวไต้หวัน ด้าน “เลขาสภาฯ” เผยเรื่องยังไม่ถึงสภา หากมาแล้วต้องบรรจุวาระขอสมาชิกให้อนุญาตดำเนินคดี