กรุงเทพฯ 19 ส.ค.- กลุ่ม ปตท.เร่งลงทุนใช้โอกาสบาทแข็ง-ดอกเบี้ยต่ำ ยอมรับกำไรอาจหดกว่าปีที่แล้ว พร้อมปรับแผนรับเทคโนโลยีใหม่ พลังงานทดแทนมีบทบาทสูงขึ้น
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. ยอมรับว่า ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า กระทบมายังราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ปิโตรเคมี แม้กลุ่ม ปตท.จะมีการปรับพอร์ตเพื่อรับผลกระทบด้านต่างๆ มีการทำแผนลดความเสี่ยง แต่ก็ยังได้รับผลกระทบ โดยยอมรับว่ากำไรปีนี้อาจจะไม่เท่ากับปีที่ 2561 ที่ประมาณ 119,000 ล้านบาท แต่จะไม่ลดต่ำเท่ากับปี 2558 ที่เป็นปีที่ราคาน้ำมันดิ่งลงอย่างรุนแรง ซึ่งปีนั้นมีกำไรอยู่ที่ 19,900 ล้านบาท
จากในช่วงเงินบาทแข็งค่า อัตราดอกเบี้ยลดลง จึงเป็นโอกาสที่กลุ่ม ปตท. ซึ่งมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน จะสามารถลงทุนโครงการระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการขยายกำลังกลั่นของไทยออยล์ การขยายกำลังผลิตและโครงการใหม่ๆ ของ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล, ไออาร์พีซี ลงทุนของ ปตท.สผ. การเพิ่มทุน บ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ หรือจีพีเอสซี เมื่อเศรษฐกิจโลกดีขึ้นราคาผลิตภัณฑ์กลับมาดี กลุ่ม ปตท.ก็จะได้ประโยชน์ โดย ปตท.จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครึ่งปีหลังปี 62 ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท เช่น โครงการสถานีนำเข้าแอลเอ็นจีหนองแฟบ
นอกจากนี้ จะมีการปรับแผนรับเทคโนโลยีใหม่ พลังงานทดแทนมีบทบาทสูงขึ้น โดยตั้งเป้าลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด 8,000 เมกะวัตต์ เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง 20% ในปี 2573
สำหรับผลประกอบไตรมาส 2/62 ถือว่าตกต่ำที่สุดในปีนี้ คาดครึ่งปีหลังจะดีขึ้น จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น ส่วนช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ปตท.และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 55,250 ล้านบาท ลดลง 14,567 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.-สำนักข่าวไทย