ธปท. 13 ส.ค. – ธปท. ย้ำ กนง.ยังให้ความสำคัญดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน พร้อมหนุนตั้งคณะกรรมการดูเสถียรภาพการเงินการคลังประเทศ
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ลดดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.75 เป็น 1.50 ต่อปี ว่า กนง.ยังคงให้ความสำคัญกับเสถียรภาพระบบการเงิน โดยเหตุผลสำคัญในการตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายนั้น ส่วนหนึ่งเพราะเห็นพัฒนาการของเศรษฐกิจต่างไปจากกรอบเคยประมาณการไว้ จากหลายปัจจัย ทั้งสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีบรรยากาศทางการค้าตึงเครียดมากขึ้น จึงเป็นเหตุผลที่ กนง.ตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบาย เพราะเห็นผลกระทบจากราคาพลังงานที่จะมีผลต่อเงินเฟ้อ ทำให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อผ่อนคลายลงไปมาก และอาจทำให้เงินเฟ้อปีนี้ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย และภาคการส่งออกมีการชะลอตัวลง หลังจากการกีดกันทางการค้ารุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงการจ้างงาน การบริโภค และการลงทุนในประเทศ
นายวิรไท กล่าวว่า การจัดตั้งคณะกรรมการดูแลเสถียรภาพระบบการเงินทั้งระบบ ( financial sustainability) นั้น เคยหารือกับนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว ซึ่งมองว่าขาดกลไกการมองเสถียรภาพระบบการเงินทั้งระบบ โดย ธปท.ดูแลธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ดูแลตลาดทุน และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ดูแลประกันภัย และกระทรวงการคลังดูแลนอนแบงก์บางประเภท โดย ธปท.เสนอให้จัดตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าว เพื่อเป็นศูนย์กลางดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน เวลาออกมาตรการต่าง ๆ จะเชื่อมโยงทั้งระบบ โดยเฉพาะภาคที่ ยังไม่ค่อยมีผู้กำกับดูแลที่ชัดเจน หรือธนาคารเงาได้รับการกำกับดูแลในทิศทางเดียวกัน และลดความเสี่ยงระยะยาว
ส่วนการจัดคณะกรรมการดูแลเสถียรภาพวินัยการเงินการคลังของประเทศนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการชุดเดิม โดยจะเป็นการรับมือความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้อย่างไร ซึ่งที่ผ่านมา ธปท. กระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระทรวงพาณิชย์หารือร่วมกันอยู่แล้ว โดยมองว่าการจัดตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวถือเป็นเรื่องดี เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ เรื่องของความผันผวนจากภาวะเศรษฐกิจโลกจะสามารถทำงานได้อย่างชัดเจน และอยู่บนความเข้าใจที่ตรงกัน พร้อมย้ำว่าคณะกรรมการทั้ง 2 ชุดนี้ต้องแยกกัน 2 เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน และไม่เกี่ยวข้องและไม่มีผลต่อการพิจารณาตัดสินใจของ กนง.แต่อย่างใด . – สำนักข่าวไทย