กรุงเทพฯ 3 ส.ค. – บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เดินหน้าตามแผนเพิ่มธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ พลังงานทดแทน และก๊าซธรรมชาติ ลดพอร์ตถ่านหิน
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าตามแผนงานในการปรับพอร์ตการลงทุน ไปสู่เทคโนโลยีใหม่ พลังงานหมุนเวียน และก๊าซธรรมชาติ โดยตั้งเป้าหมาย ว่าจะปรับ โครงสร้าง EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม ) จากปี 2561 ที่ประกอบธุรกิจถ่านหิน ร้อยละ70 ก๊าซฯและพลังงานหมุนเวียน ร้อยละ30 ปรับเป็นธุรกิจถ่านหิน ร้อยละ 40 โรงไฟฟ้าก๊าซฯและพลังงานหมุนเวียน ร้อยละ30 ก๊าซธรรมชาติ ร้อยละ20 และธุรกิจพลังงานเทคโนโลยี ร้อยละ 10ในปี 2563
สำหรับ ธุรกิจด้านเทคโนโลยี บริษัทฯจัดตั้งหน่วยงาน “Banpu Innovation & Ventures” หรือ BIV ขึ้นมาเพื่อมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้าง BANPU Eco System ในขณะที่บริษัทบ้านปู อินฟิเนอร์จี ซึ่งเป็นบริษัทย่อยได้มีการลงทุนโครงการโซลาร์รูฟท็อป 160 เมกะวัตต์,การลงทุนในธุรกิจโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียม แบรนด์ Durapower กำลังการผลิต 380 MWh และการร่วมลงทุนในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า แบรนด์ FOMM สัญชาติญี่ปุ่น ที่บ้านปู โดยบริษัท บ้านปู อินฟิเนอร์จี้ เข้าไปถือหุ้น ร้อยละ21 และ โครงการนำร่องรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า และแอปพลิเคชั่น “MuvMi” ซึ่งบ้านปูลงทุนสัดส่วน ร้อยละ22 นำร่องในการให้บริการรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าขนส่งผู้โดยสารจากสถานีรถไฟฟ้าอารีย์ ไปกระทรวงการคลัง ,สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติไปย่าน สยาม หรือไปจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ปีนี้เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศจีนและญี่ปุ่น โดยจีนคาดว่ามีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้น 65 เมกะวัตต์ และญี่ปุ่นอีกเกือบ 100เมกะวัตต์ ส่งผลให้บ้านปูมีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทนในจีนจาก 162 เมกะวัตต์เพิ่มป็น 220 เมกะวัตต์ และญี่ปุ่นจากปัจจุบัน 200กว่าเมกะวัตต์เป็น 300เมกะวัตต์ในปีนี้ .ส่วนเวียดนาม ล่าสุดบริษัท Sunseap ซึ่งเป็นบริษัทที่บ้านปู อินฟิเนอร์จีถือหุ้นอยู่ ร้อยละ35 ได้เดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิต 168 เมกะวัตต์ไปแล้ว ส่วนโรงไฟฟ้าพลังลมที่บริษัทได้รับสิทธิในการลงทุน 200เมกะวัตต์ จะเริ่มลงทุนเฟสแรกราว 60-80เมกะวัตต์ จ่ายไฟเชิงพาณิชย์ในปี 2563 รวมทั้งบริษัทมองโอกาสที่จะขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้ลาร์ฟาร์มที่เวียดนามเพิ่มอีก 400เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา
สำหรับธุรกิจก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดาน (Shale gas) ในสหรัฐอเมริกา บริษัทฯ เตรียมงบลงทุน 500 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงปี 2562-63 คาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตและจำหน่ายก๊าซธรรมชาติได้อีก 220-230 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาซื้อแหล่งก๊าซฯใหม่ในสหรัฐ คาดว่าจะปิดดีลได้ในครึ่งหลังปี 2562
“การให้ความสำคัญในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน
รวมทั้งธุรกิจเทคโนโลยีด้านพลังงานมากขึ้น เป็นการปรับตัวสอดรับกับเทรนด์ของโลกที่เน้นพลังงานสะอาด
ตรงกับวิสัยทัศน์การเป็นบริษัทชั้นนำด้านพลังงานแบบครบวงจรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกภายใต้กลยุทธ์
Greener &Smarter ที่เน้นธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”นางสมฤดีกล่าว
ด้านธุรกิจถ่านหินในปีนี้ ยังโตต่อเนื่องร้อยละ
4 โดยตั้งเป้าหมายจำหน่าย
47.3 ล้านตัน (รวมจีน)
ขณะที่ราคาขายถ่านหินในตลาดโลกปรับตัวลดลงจากต้นปีที่ตั้งไว้ 80-90
เหรียญสหรัฐ/ตัน ล่าสุดปลายไตรมาส2 อยู่ที่ 75-80
เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากได้รับผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายจำหน่ายในเวียดนามเพิ่มขึ้นเป็น
2 ล้านตันจากปีก่อนที่ขาย 1.2
ล้านตัน เนื่องจากเวียดนามมีแผนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มอีก 4.7
หมื่นเมกะวัตต์ในช่วงปี 2562-2573 .- สำนักข่าวไทย