กรุงเทพฯ 18 ก.ย.- การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ยืนยันความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำเต็มพิกัด โดยเฉพาะ 4 นิคมฯ ในพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษ จ.พระนครศรีอยุธยา และสมุทรปราการ พร้อมเปิดแผนป้องกันระยะยาวด้วยงบลงทุนกว่า 1,857 ล้านบาท ย้ำไม่ประมาทเตรียมพร้อมทั้งโครงสร้างและเครื่องมือเต็มกำลัง
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำและมาตรการป้องกันน้ำท่วมในนิคมอุตสาหกรรม 4 แห่ง ที่เป็นพื้นที่เฝ้าระวัง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมนครหลวง, นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน, นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ โดยยืนยันว่าทุกแห่งมีความพร้อมรับมือสูงสุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการ
“แม้สถานการณ์น้ำในเดือนกันยายน 2568 จะยังอยู่ในภาวะปกติ แต่ กนอ.ไม่ได้นิ่งนอนใจ เรายังคงเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในพื้นที่ริมแม่น้ำและเส้นทางน้ำหลาก ประสบการณ์จากปี 2567 ที่แม้หลายพื้นที่จะประสบภัย แต่นิคมอุตสาหกรรมของเรายังคงปลอดภัย สะท้อนประสิทธิภาพของระบบที่เรามี เราพร้อมรับมือทุกสถานการณ์” นายสุเมธ กล่าว

นายสุเมธ กล่าวถึงความคืบหน้าของระบบป้องกันน้ำท่วมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งลงทุนไปแล้วรวมกว่า 1,857 ล้านบาท ทั้งที่ นิคมอุตสาหกรรมนครหลวง (อยุธยา) สถานการณ์ปกติ มีเขื่อนป้องกันความยาว 5.5 กม. สูง 8.15 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดในปี 2554 (7.54 เมตร รทก.)
• นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน (อยุธยา) สถานการณ์ปกติ มีระบบป้องกันที่ระดับความสูง +6.00 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) . สูงกว่าระดับน้ำท่วมปี 2554 (4.28 เมตร รทก.) อย่างชัดเจน
• นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (อยุธยา) สถานการณ์ปกติ มีแนวป้องกันน้ำท่วมยาว 11 กม. ที่ระดับความสูง +5.40 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำท่วมในปี 2554 (4.90 เมตร รทก.)
• นิคมอุตสาหกรรมบางปู (สมุทรปราการ) สถานการณ์ปกติ ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ 53% มีแผนดำเนินให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2569 โดยจะสามารถสูบระบายน้ำได้160,000ลูกบาศก์ต่อชั่วโมง
ผู้ว่าการ กนอ.กล่าวย้ำว่า แผนการดำเนินงานไม่ได้มีแค่โครงสร้าง แต่ครอบคลุม 4 ด้านสำคัญ ประกอบด้วย 1.ด้านโครงสร้าง การบำรุงรักษาและเสริมความแข็งแกร่งของกำแพงป้องกันอย่างสม่ำเสมอ 2.ด้านเครื่องจักร ที่มีการเตรียมความพร้อมเครื่องสูบน้ำกำลังสูงและระบบสำรองให้ใช้งานได้ทันที 3.ด้านการบูรณาการ โดยการทำงานร่วมกับกรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามข้อมูลน้ำแบบเรียลไทม์ และ 4.ด้านการเตรียมพร้อม มีการซ้อมแผนเผชิญเหตุฉุกเฉินร่วมกับโรงงาน และมีระบบสื่อสารแจ้งเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ
“บทเรียนจากมหาอุทกภัยปี 2554 ทำให้เราต้องลงทุนเพื่อความมั่นคงในระยะยาว การลงทุนทั้งหมดนี้ ไม่ใช่แค่การป้องกันทรัพย์สิน แต่คือการสร้างความเชื่อมั่นว่า ภาคอุตสาหกรรมไทยจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน และประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้” นายสุเมธ กล่าว. -517-สำนักข่าวไทย