กรุงเทพฯ 17 ก.ค. – กรมชลฯ เร่งช่วยพื้นที่ขาดแคลนน้ำ หลังฝนทิ้งช่วงจนกว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ พบอ่างขนาดใหญ่มีน้ำต่ำกว่าร้อยละ 30 มากถึง 18 แห่ง กำชับโครงการชลประทานทุกแห่งบริหารจัดการน้ำตามแผนอย่างเคร่งครัด พร้อมรณรงค์ทุกภาคส่วนใช้น้ำอย่างประหยัด
นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า หลายจังหวัดประสบปัญหาฝนทิ้งช่วง จึงสั่งการให้สำนักงานโครงการชลประทานทั่วประเทศช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่โดยด่วน ได้แก่ ตัวเมืองจังหวัดบุรีรัมย์นั้น สำนักงานชลประทานที่ 8 เร่งวางแนวทางจัดหาแหล่งน้ำช่วยผลิตประปา ด้วยการขุดร่องชักน้ำเข้าสู่หัวงานของการประปาส่วนภูมิภาค พร้อมกับสูบน้ำบริเวณรอบอ่างเก็บน้ำห้วยตลาด-ห้วยจระเข้มาก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำดิบ
นอกจากนี้ ยังเตรียมผันน้ำผ่านทางลำจังหัน-ลำนางรองไปช่วยอีกประมาณ 3 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน ส่วนพื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนล่าง สำนักงานชลประทานที่ 6 เพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นวันละ 800,000 ลบ.ม. เขื่อนร้อยเอ็ดเป็นวันละ 350,000 ลบ.ม. และเขื่อนมหาสารคามอีกวันละ 400,000-450,000 ลบ.ม. เพื่อเติมให้กับแม่น้ำชีเหนือเขื่อนวังยาง รวมถึงหยุดสูบน้ำที่สถานีเขื่อนวังยางตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคมเป็นต้นมา และยังนำเครื่องจักร-เครื่องมือเข้าไปขุดเปิดร่องชักน้ำ กำจัดวัชพืชและขุดลอกตะกอนดินบริเวณด้านท้ายเขื่อนร้อยเอ็ด ส่งผลให้ปัจจุบันสถานการณ์น้ำในแม่น้ำชีตอนล่างเริ่มดีขึ้น
ด้านโครงการชลประทานอุตรดิตถ์รายงานผลการติดตามสถานการณ์น้ำและการทำงานของเครื่องสูบน้ำ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟผ.) เขื่อนสิริกิติ์ 4 เครื่องและเครื่องสูบน้ำของกรมชลประทาน 2 เครื่อง เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งพื้นที่อพยพท้ายเขื่อนสิริกิติ์ในเขตอำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อสูบน้ำส่งให้พื้นที่การเกษตรที่น้ำส่งไม่ถึง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่ โดยคาดว่าจะสูบน้ำช่วยเหลือต่อเนื่องประมาณ 1 เดือน ที่จังหวัดนครราชสีมา สำนักงานชลประทานที่ 8 นำเครื่องสูบน้ำขนาด 8 นิ้ว 1 เครื่อง ติดตั้งและสูบน้ำช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปี 1,000 ไร่ ในพื้นที่บ้านสะกาด ตำบลรังกา และบ้านวังหิน บ้านขี้เหล็ก ตำบลในเมือง อำเภอพิมาย และโครงการชลประทานฉะเชิงเทราสนับสนุนรถบรรทุกน้ำขนาด 6,000 ลิตร 1 คัน เพื่อนำน้ำดิบไปจ่ายเข้าระบบผลิตน้ำประปาหมู่บ้านในหมู่ที่ 9 บ้านเขาจันทร์ ตำบลทุ่งพระยา อำเภอสนามชัยเขต 4 เที่ยวแล้วเพื่อช่วยเหลือราษฎรที่มีอยู่ 154 ครัวเรือน ประชากร 523 คน ปัจจุบันมีปริมาณน้ำสะสม ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 792,000 ลิตร โดยจะช่วยเหลือไปจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ
นายทองเปลว กล่าวถึงการเพาะปลูกข้าวนาปีในเขตชลประทานทั้งประเทศ ซึ่งวางแผนเพาะปลูกรวม 16.68 ล้านไร่ ปัจจุบันเพาะปลูกไปแล้ว 10.77 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 64.55 ของแผน ส่วนลุ่มเจ้าพระยา วางแผนเพาะปลูกข้าวนาปีรวม 7.71 ล้านไร่ ปัจจุบันเพาะปลูกไปแล้ว 6.09 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 78.97 ของแผน จากสภาวะฝนทิ้งช่วงคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำไหลผ่านลุ่มน้ำปิงที่สถานี P.17 อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์มีแนวโน้มลดลง เช่นเดียวกับลุ่มน้ำน่านที่สถานี N.67 อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ จะมีแนวโน้มลดลง ทำให้น้ำแม่น้ำเจ้าพระยาไหลมายังเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท มีแนวโน้มลดลง จึงเน้นย้ำให้โครงการชลประทานทุกแห่งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรทยอยเพาะปลูกตามปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่และให้ใช้น้ำฝนเป็นหลัก ทั้งนี้ กรมชลประทานจะส่งน้ำแบบรอบเวรหมุนเวียนแต่ละพื้นที่ รวมทั้งขอให้สถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าที่ตั้งอยู่บริเวณแม่น้ำปิง น่าน และแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมดสูบน้ำตามรอบเวรอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ได้เตรียมเครื่องจักร-เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ และรถบรรทุกน้ำพร้อมสนับสนุนในพื้นที่ที่ต้องการทันที
สำหรับอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำใช้การได้จริงน้อยกว่าร้อยละ 30 มี 18 แห่ง คือ อ่างเก็บน้ำแม่งัดสมบูรณ์ชลมีน้ำร้อยละ 25 แม่กวงอุดมธารามีน้ำร้อยละ 25 กิ่วลมมีน้ำร้อยละ 29 แควน้อยบำรุงแดนมีน้ำร้อยละ 25 ห้วยหลวงมีปริมาณน้ำร้อยละ 25 น้ำพุงมีน้ำร้อยละ 13 จุฬาภรณ์มีน้ำร้อยละ 5 อุบลรัตน์มีน้ำร้อยละ -0 ลำปาวมีน้ำร้อยละ 22 ลำพระเพลิงมีน้ำร้อยละ 14 มูลบนมีน้ำร้อยละ 25 ลำนางรองมีน้ำร้อยละ 20 ป่าสักชลสิทธิ์มีน้ำร้อยละ 5 ทับเสลามีน้ำใช้การร้อยละ 13 กระเสียวมีน้ำร้อยละ 10 ขุนด่านปราการชลมีน้ำร้อยละ 13 คลองสียัดมีน้ำร้อยละ 6 และนฤบดินทรจินดามีน้ำร้อยละ 16 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์วิกฤติ
“มาตรการสำคัญที่สุดขณะนี้ คือ ได้ให้โครงการชลประทานทุกแห่งเร่งทำความเข้าใจและขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้ร่วมใจกันใช้น้ำอย่างประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้มีปริมาณน้ำสำรองไว้ใช้ให้มากที่สุด” นายทองเปลว กล่าว.-สำนักข่าวไทย