ม.กรุงเทพฯ30 เม.ย..- ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ 61.7% หวังอยากได้ค่าแรง 400 บาท หากได้รัฐบาลใหม่ 85.9% กังวลว่าข้าวของราคาแพงขึ้น 79.0%ฝากความหวังให้รัฐบาลใหม่ควบคุมราคาสินค้า ไม่ให้กระทบค่าครองชีพ
กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความคิดเห็นเรื่อง “ปรับค่าแรงขั้นต่ำกับความหวังของแรงงานไทย” โดยเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างผู้ใช้แรงงานในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 1,160 คน พบว่า ผู้ใช้แรงงานร้อยละ 42.1 ระบุว่าปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำที่ได้รับในแต่ละวันพอดีกับค่าใช้จ่ายจึงไม่มีเงินเหลือเพื่อเก็บออม ขณะที่ร้อยละ 31.6 ระบุว่าไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ต้องกู้ ต้องหยิบยืม ส่วนร้อยละ 26.3 ระบุว่าเพียงพอกับค่าใช้จ่ายและมีเงินเก็บออม
เมื่อถามว่านโยบายหาเสียงเลือกตั้งค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาทจากพรรคการเมืองต่างๆ มีผลต่อการตัดสินใจเลือกมากน้อยเพียงใด ส่วนใหญ่ร้อยละ 50.5 เห็นว่ามีผลค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด ขณะที่ร้อยละ 49.5 เห็นว่ามีผลค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
ทั้งนี้เมื่อถามต่อว่าหากได้รัฐบาลใหม่แล้ว คาดหวังกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำหรือไม่ ส่วนใหญ่ร้อยละ 61.7 ระบุว่าคาดหวัง โดยในจำนวนนี้ ร้อยละ 43.0 หวังว่าจะได้ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเลยในทันที รองลงมาร้อยละ 15.3 หวังว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 400 บาทภายใน 1-2 ปี และร้อยละ 3.4 หวังว่าไม่เกิน 3 ปี จะได้ค่าแรงถึง 400 บาท ขณะที่ร้อยละ 38.3 ไม่ได้คาดหวัง
ส่วนเรื่องที่กังวลมากที่สุดหากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400-425 บาทคือ ข้าวของราคาแพงขึ้น คิดเป็นร้อยละ85.9 รองลงมาคือ ค่าแรงขั้นต่ำจะไม่ขึ้นอีกหลายปี คิดเป็นร้อยละ 21.6 และตกงาน โดนเลิกจ้าง คิดเป็นร้อยละ 21.0
เมื่อถามว่าหากภาครัฐมีการพัฒนาทักษะแรงงาน สำหรับงานและอาชีพแต่ละระดับให้เป็นมาตรฐาน เพื่อเข้าสู่การพิจารณาปรับค่าแรงมาตรฐานให้สูงขึ้น ท่านสนใจจะเข้าร่วมมากน้อยเพียงใด ส่วนใหญ่ร้อยละ 62.0 สนใจค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ38.0 สนใจค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด.-สำนักข่าวไทย