กทม.23 ส.ค.- มีการเรียกประชุมตำรวจหน่วยที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามความคืบกน้าการสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีแฮกเงินจากตู้เอทีเอ็มธนาคารออมสิน 21 ตู้ รวม 12,000,000 บาท ในพื้นที่ 7 จังหวัด พร้อมประสานตำรวจสากลติดตามจับกุมตัว
พลตำรวจเอกปัญญา มาเม่น ที่ปรึกษา สบ 10 แถลงความคืบหน้าคดีแฮกเงินจากตู้เอทีเอ็มจำนวน 21 ตู้ รวมเงิน 12,000,000 บาทของธนาคารออมสิน ในพื้นที่ 7 จังหวัด คือ ภูเก็ต, สุราษฎร์ธานี,ชุมพร ,ประจวบคีรีขันธ์, เพชรบุรี ,สมุทรสาคร และกรุงเทพฯว่า ตำรวจได้รับแจ้งจากทางธนาคารเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม จากนั้นสืบสวนสอบสวน พบว่าเหตุดังกล่าวเชื่อมโยงกับเหตุที่เกิดที่ไต้หวัน เมื่อเดือนกรกฎาคม 2559 และเชื่อมโยงกับเหตุแแฮกเงินจากตู้เอทีเอ็ม 4,000,000 บาท ที่ตะกั่วป่า จ. พังงา เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และยังคล้ายกับเหตุที่เกิดในประเทศเพื่อนบ้านเมื่อปี 2557 เหตุที่เกิดในประเทศไทย พบ กลุ่มคนร้ายเป็นชาวยุโรปตะวันออก มีผู้ร่วมขบวนการไม่ถึง 20 คน โดย 5 คน เดินทางออกนอกประเทศแล้วตั้งแต่กลางเดือนที่ผ่านมา เชื่อว่าบางส่วนยังกบดานอยู่ในประเทศ จึงสั่งตำรวจสอบสวนกลาง, ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง,พิสูจน์หลักฐาน ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ เชื่อจะมีความชัดเจนในเร็ววันนี้ และถือเป็นคดีที่ใช้ไวรัสควบคุมให้ตู้เปิดเองเป็นครั้งแรกในไทย
พลตำรวจเอกปัญญา ยืนยันว่า มีหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดหน้าตู้ขณะคนร้าย เสียบบัตรปลอม ที่ผลิตในประเทศยูเครน เข้าตู้ ที่ถูกควบคุมด้วยไวรัสมัลแวร์ ก่อนที่เงินจะไหลออมมา ซึ่งไวรัสดังกล่าวถูกส่งไปยังตู้ควบคุม 3 ตู้ ที่ภูเก็ต ก่อนกระจายไปตู้ที่เหลือ กรณีธนาคารตรวจพบล่าช้า เนื่องจากหากเงินไหลออก ระบบเครื่องจะกลับไปทำงานตามปกติ ต้องใช้วิธีการตรวจสอบเงินเท่านั้น ซึ่งเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่าง 7-30 กรกฎาคม 2559 ตรวจพบเมื่อ 1 -10 สิงหาคม โดยเร่งประสานข้อมูลกับตำรวจสากล เพื่อติดตามจับกุมแล้ว หากประชาชนพบเบาะแสชาวยุโรปตะวันออก ยืนกดเงินหน้าตู้ในเวลากลางคืนนานและใช้โทรศัพท์ไปด้วย ให้แจ้งตำรวจทันที อย่างไรก็ตาม วันศุกร์นี้(26 ส.ค.) เวลา 14.00 น.จะเรียกประชุม ตำรวจทั้งภูธรภาค 7 และ 8 เกี่ยวกับเรื่องนี้.-สำนักข่าวไทย