นนทบุรี 3 ธ.ค. – พาณิชย์เบาใจ 2 ผู้นำสหรัฐ-จีน เจรจาชะลอเก็บภาษี 3 เดือน ย้ำหากตกลงกันได้น่าจะส่งผลดีทั่วโลกรวมทั้งไทย พร้อมจับตาอย่างใกลชิด
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า หลังจากผู้นำ 2 ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกระหว่างผู้นำสหรัฐอเมริกาและผู้นำประเทศจีนตกลงที่จะชะลอมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน เพื่อให้ได้ข้อสรุปของแนวทางต่าง ๆ ให้มีความชัดเจนมากขึ้นนั้น ถือว่าเป็นข่าวดีต่อประเทศต่าง ๆ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในการตอบโต้ของทั้ง 2 ประเทศ แต่ถือว่าเป็นเรื่องที่เบาใจและหายใจได้ระดับหนึ่งว่าน่ามีทางออกในเรื่องนี้ได้
อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามหลังจากนี้ไปผลการเจรจาจะจบลงอย่างไร แต่เชื่อว่าช่วงนี้น่าจะส่งผลดีต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่ทั้ง 2 ประเทศนำเข้าสินค้าไทยค่อนข้างมาก หากมีมาตรการผ่อนปรนและทั้ง 2 ประเทศจบลงด้วยดีก็น่าจะส่งผลให้การส่งออกของไทยไปตลาดสหรัฐและจีนเพิ่มขึ้นแน่นอน แต่หากผลออกมายังต้องใช้มาตรการตอบโต้ก็จะเป็นปัญหาของสินค้าไทยในการทำตลาดทั้ง 2 อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ มองว่าการหยุดพักของสงครามการค้าจะทำให้เศรษฐกิจโลกมีเสถียรภาพมากขึ้น น่าจะส่งผลดีต่อการค้าโลกโดยรวมให้ขยายตัวขึ้นไปด้วย ทั้งตลาดทุน ตลาดเงิน ก็น่าจะลดความผันผวนลง เศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ขณะนี้ขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้แต่จีนที่ต้องการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจลงก็ยังเติบโตในระดับที่ดี ทำให้ส่งผลบวกต่อการส่งออกไทย ขณะที่การส่งออกสินค้าขั้นกลางใน supply chain เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไปยังจีน ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสงครามการค้า น่าจะดีขึ้นช่วยประคองให้การส่งออกไทยไปได้เกินร้อยละ 8
อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาการขึ้นภาษีของสินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนของสหรัฐ ซึ่งอยู่ระหว่างการไต่สวน safeguard กับทุกประเทศ ว่าสหรัฐจะชะลอหรือจะขึ้น เพราะประเทศที่เข้าข่ายไม่ได้มีเพียงจีนเท่านั้น แต่รวมไทยด้วย หากสหรัฐมีท่าทีผ่อนปรนลงโดยรวม เพราะจีนประกาศจะนำเข้ารถยนต์เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้การส่งออกชิ้นส่วน เช่น ยางรถยนต์ของไทยไม่โดนกระทบ
นายธนวรรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การพักรบชั่วคราวของสหรัฐ-จีน มีผลต่อจิตวิทยาของนักลงทุน และทำให้คลายความกังวลระดับหนึ่ง แต่ยังต้องติดตามท่าทีของทั้ง 2 ประเทศต่อไป ต้องดูว่าจีนจะสามารถทำตามที่สหรัฐร้องขอได้หรือไม่ ซึ่งมองว่าสถานการณ์ไม่น่าที่จะเลวร้ายลงไปอีก สุดท้ายน่าจะหาทางออกร่วมกันได้ เพราะตอนนี้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เศรษฐกิจโลกปีหน้าจะเติบโตเพียงร้อยละ 3.7 ดังนั้น ผู้นำทั้ง 2 ชาติ ก็ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ หากสงครามการค้ากลับมารุนแรง หรือตกลงกันไม่ได้ก็จะไม่เป็นผลดีกับชาติใดเลย ซึ่งมองว่าหากสงครามการค้าปลดล็อคได้จริงจะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวถึงร้อยละ 4.2 ในปีหน้า การส่งออกจะโตร้อยละ 5 กำลังซื้อผู้บริโภคจะฟื้นกลับมา ทำให้ปีใหม่บรรยากาศชื่นมื่น
นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ข้อพิพาททางการค้าระหว่าง 2 ชาติ ยังไม่ได้หายไป เพียงแต่มาตรการยังไม่ได้ยกระดับความรุนแรง ต้องจับตาว่าจีนจะแก้ไขได้ตามที่สหรัฐร้องขอหรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะข้อเรียกร้องเรื่องที่ให้ต่างชาติเข้ามาดำเนินธุรกิจในจีนอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งอาจกระทบต่อธุรกิจของจีนเอง เพราะหากจีนทำไม่ได้ ก็มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะขึ้นภาษีสินค้าจากจีน จากที่ปัจจุบันเก็บอยู่ร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 หลังวันที่ 1 มีนาคม 2562 มองโอกาสความเป็นไปได้ 50 : 50
ส่วนความคาดหวังที่จะมีต่างชาติย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย เพื่อลดผลกระทบจากกำแพงภาษีสหรัฐ นายเชาวน์ เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการย้ายฐานการผลิตไม่ได้เกิดขึ้นภายใน 2- 3 วัน ขณะที่ต้นทุนการผลิตของจีน ค่าแรงยังต่ำกว่าที่อื่น ซึ่งผลกระทบจากสงครามการค้ากดดันการส่งออกไทยโตน้อยลง จากปีนี้โตร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 5 ในปีหน้า.-สำนักข่าวไทย