ทำเนียบรัฐบาล 13 ก.ย. – นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (ปี 2560-2564) หากประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จะเริ่มบังคับใช้วันที่ 1 ตุลาคม 2559
สำหรับแผนดำเนินงานกำหนดให้สอดคล้องกับปรัญชาเศรษฐกิจแบบพอเพียง การยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ดำเนินการสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของยุทศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อมุ่งสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วโดยยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาฉบับที่ 12 ประกอบด้วย 10 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทุนมนุษย์ ด้วยการให้ความสำคัญกับดูแลสังคมผู้สูงอายุ การพัฒนาคนตั้งแต่ระบบการศึกษาจนถึงการพัฒนาฝีมือแรงงาน ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เพราะกลุ่มรวยสุดยังมีสัดส่วนร้อยละ 10 แต่มีสัดส่วนรายได้ร้อยละ 35 ของรายได้รวมปี 2558 ขณะที่กลุ่มประชากรร้อยละ 40 มีรายได้ต่ำสุด มีสัดส่วนรายได้เพียงร้อยละ 14.3 ของรายได้รวมเท่านั้น จึงต้องการให้กลุ่มรายได้น้อยมีสัดส่วนสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความเหลื่อมล้ำทางด้านสินทรัพย์และการถือครองที่ดินและปัญหากระจายบริการภาครัฐที่มีคุณภาพที่ยังไม่ทั่วถึง
ยุทธศาสตร์ที่ 3 การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ผ่านการเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ สร้างบรรยากาศการลงทุน และปฏิรูปเศรษฐกิจในหลายด้าน เพื่อวางพื้นฐานให้ประเทศไทยเป็นประเทศรายได้สูงได้ภายในปี 2570 ขณะที่กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีเป้าหมายเพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 รายได้ประชากรต่อคนต่อปีเฉลี่ย 8,200 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564 จากที่มีรายได้ปัจจุบัน 6,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ยุทธศาสตร์ที่ 4 การเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนทั้งการรักษา ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ร้อยละ 40 ของประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 5 ความมั่นคง เพื่อดูแลปัญหา กลุ่มก่อการร้ายรุนแรงสุดขั้ว ความมั่นคงทางไซเบอร์ ระบบสื่อสาร พัฒนาเสริมสร้างศักยภาพการป้องกันเพื่อรับมือภัยคุกคามต่าง ๆ ยุทธศาสตร์ที่ 6 การบริหารจัดการภาครัฐ การป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ และธรรมาภิบาลในสังคมไทย ตั้งเป้าลดปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อหวังขยับเพิ่มคะแนนดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (CPI) ให้อยู่สูงกว่าร้อยละ 50 จากปัจจุบันมีคะแนนร้อยละ 38 ผ่านการพัฒนาหลายด้าน เช่น ปรับปรุงกระบวนการงบประมาณ และสร้างกลไกในการติดตามตรวจสอบการเงินการคลังภาครัฐ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ยุทธศาสตร์ที่ 7 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ ด้วยการตั้งเป้าว่าปี 2564 หวังลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยเหลือร้อยละ 12 ของจีดีพี เพิ่มการขนส่งทางรางเป็นร้อยละ 4 จากปัจจุบันมีสัดส่วนร้อยละ 2 ขนส่งทางน้ำเพิ่มเป็นร้อยละ 19 จากเดิมร้อยละ 15 ขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ได้ร้อยละ 85 ของหมู่บ้านทั่วประเทศ เป็นต้น ยุทธศาสตร์ที่ 8 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย และนวัตกรรม กำหนดเป้าหมายสำคัญในการเพิ่มสัดส่วนค่าใช้จ่ายการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาเป็นร้อยละ 1.5 ของจีดีพี จากปัจจุบันมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.48 และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และด้านเทคโนโลยี จัดโดย IMD ให้อยู่ในลำดับ 1 ใน 30
ยุทธศาสตร์ที่ 9 การพัฒนาภาค เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจ เพื่อกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคของประเทศไทย ประกอบด้วย การพัฒนาภาคเหนือให้เป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง พัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้หลุดพ้นจากความยากจนก้าวสู่เป้าหมายอีสานพึ่งตนเอง พัฒนาภาคกลางให้เป็นฐานเศรษฐกิจชั้นนำ และพัฒนาภาคใต้เป็นฐานการสร้างรายได้ที่หลากหลาย ขณะที่พื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก จะเป็นศูนย์อุตสาหกรรมทันสมัย ใช้เทคโนโลยีสูง และยุทธศาสตร์ที่ 10 การต่างประเทศ ประเทศเพื่อนบ้าน และภูมิภาค โดยใช้ประโยชน์จากจุดเด่นของทำเลที่ตั้งของประเทศเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญของแนวระเบียงเศรษฐกิจต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทย.-สำนักข่าวไทย