กรุงเทพฯ 5 ต.ค. – โอสถสภาประกาศราคาเสนอขายสุดท้ายหุ้นไอพีโอ 25 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาที่เสนอขายเบื้องต้น 22 – 25 บาทต่อหุ้น หลังได้รับการตอบรับจากนักลงทุนสถาบัน
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจากบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนและหุ้นสามัญเดิมเบื้องต้นราคา 22-25 บาทต่อหุ้น และเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อหุ้นไอพีโอ ระหว่างวันที่ 1-4 ตุลาคม 2561 ที่ราคา 25 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น พบว่านักลงทุนทั่วไปให้การตอบรับอย่างดีมาก ซึ่งการตอบรับดังกล่าวเกิดจากการที่นักลงทุนมองว่า OSP เป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค และมีแบรนด์สินค้าที่เป็นผู้นำตลาด มีเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีความแข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนและประสิทธิภาพการดำเนินงานที่สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า จากผลการสำรวจความต้องการจองซื้อหุ้นของนักลงทุนสถาบัน (Book Building) ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ความสนใจอย่างมากและแสดงความต้องการจองซื้อราคาสูงสุดหุ้นละ 25 บาท จึงได้กำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายหุ้นสามัญที่ราคาหุ้นละ 25 บาท โดยบริษัทฯ และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย จะจัดสรรหุ้น OSP ให้แก่นักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ 419.9 ล้านหุ้น หรือประมาณร้อยละ 69.5 ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมดครั้งนี้
นางวรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP กล่าวว่า บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นรักษาและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะที่บริษัทฯ เป็นผู้นำในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคและมีนวัตกรรมที่ทันสมัย ภายใต้วิสัยทัศน์ “พลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต” (The Power to Enhance Life) โดยมุ่งมั่นพัฒนาบริษัทฯ ให้เป็นองค์กรที่เสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้บริโภคและสังคมด้วยผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่ทันสมัย ด้วยเงินจากการเสนอขายไอพีโอครั้งนี้ประมาณ 12,669 ล้านบาท จะถูกนำไปใช้ขยายธุรกิจต่อยอดจากความแข็งแกร่งในปัจจุบัน โดยเฉพาะการลงทุนสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งใหม่ในเมียนมา ซึ่งจะเป็นธุรกิจใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ รองจากธุรกิจในประเทศไทย และจะเป็นธุรกิจหลักธุรกิจหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างมูลค่าให้บริษัทฯ และผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอนาคต ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว.-สำนักข่าวไทย