กรุงเทพฯ 9 ส.ค. – รองนายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เริ่มใช้แผนการผลิตของประเทศตั้งแต่ 1 กันยายน กำหนดว่า พื้นที่ใดเหมาะสมจะทำเกษตรกรรมประเภทใด โดยให้สหกรณ์การเกษตรเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิรูปภาคการเกษตร
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการของกรมส่งเสริมสหกรณ์เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตรโดยกลไกสหกรณ์ โดยมีผู้แทนสหกรณ์ซึ่งเข้มแข็ง 777 แห่ง รับฟังนโยบายการเดินหน้าปฏิรูปภาคการเกษตรให้สำเร็จ
นายสมคิดกล่าวว่า การรวมกลุ่มการผลิตในรูปแบบสหกรณ์เป็นรูปแบบการรวมกลุ่มภาคการผลิตที่เหมาะสม โดยรัฐบาลจะผลักดันให้สหกรณ์เหล่านี้เป็นองค์กรหลักระดับอำเภอทำหน้าที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน พร้อมทั้งช่วยต่อยอดนโยบายของรัฐบาล ในการดูแลและส่งเสริมความรู้เทคโนโลยีที่ทันสมัยให้แก่เกษตรกร การบริหารจัดการสินค้าการเกษตร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยใช้หลักการตลาดนำการผลิต เริ่มตั้งแต่ส่งเสริมเกษตรกรผลิตสินค้าคุณภาพตรงกับความต้องการของตลาด การรวบรวมผลผลิตของเกษตรกรเพื่อนำมาแปรรูปเพิ่มมูลค่า และการประสานภาคเอกชนเข้ามาส่งเสริมช่องทางตลาด เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรขายผลผลิตได้ราคาที่เป็นธรรม มีรายได้และความมั่นคงในการประกอบอาชีพ รัฐจะสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SMEs Bank) จะกำหนดมาตรการช่วยเหลือด้านสหกรณ์ในการผลิตและดำเนินธุรกิจ
นายสมคิดกล่าวว่า สหกรณ์คือ ความหวังใหม่ของประเทศ ขอให้รวมตัวกันให้เข้มแข็งซึ่งจะช่วยกันในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเริ่มต้นแผนการผลิตภาคเกษตรของประเทศตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนนี้ กำหนดพื้นที่การเพาะปลูก ทำปศุสัตว์ และประมงอย่างเหมาะสม โดยสหกรณ์การเกษตรดำเนินการผลิตตามแผนที่กำหนด ใช้นโยบายตลาดนำการผลิต ประสานกับภาคเอกชนให้รับซื้อโดยตรงจากสหกรณ์ ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง เช่นการลงนามซื้อข้าวหอมมะลิของสหกรณ์ในพื้นที่ภาคอีสาน กับห้างเทสโก้ โลตัส ภายใต้โครงการข้าวประชารัฐที่ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งช่วยขยายผลเพิ่มปริมาณการรับซื้อข้าว โดยตรงจากชาวนา โดยไม่ผ่านคนกลางและโรงสีเอกชน เป็นข้าวหอมมะลิแท้ 100% จากสหกรณ์การเกษตรใน 4 จังหวัดภาคอีสานอีก 7,000 ตัน และข้าวกล้องหอมมะลิ 100% และข้าวไรซ์เบอร์รี่ บรรจุถุงภายใต้แบรนด์เทสโก้ รวม 2,000 ตัน วางจำหน่ายภายในห้างเทสโก้ โลตัสทั่วประเทศ
นอกจากนี้ต้องปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีซึ่งปัจจุบันการส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภคเป็นการดำเนินธุรกิจที่เติบโตมาก กรมส่งเสริมสหกรณ์จะส่งเสริมการทำธุรกิจแบบ Delivery เช่นการเจรจากับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในการช่วยกระจายผลผลิตลำไยจากสหกรณ์ในพื้นที่ภาคเหนือและเงาะโรงเรียนนาสารจากสหกรณ์ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้กับผู้บริโภคสั่งซื้อทางไปรษณีย์ ภายใต้โครงการอร่อยทั่วไทย สั่งได้ที่ไปรษณีย์ เพื่อเป็นการกระจายสินค้าและช่วยแก้ปัญหาสินค้าล้นตลาด อีกทั้งเป็นการเพิ่มช่องทางสั่งซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังทำให้สมาชิกสหกรณ์ขายผลผลิตได้ราคาสูงกว่าขายกับพ่อค้าทั่วไป ซึ่งจากการเริ่มต้นที่สหกรณ์ที่เข้มแข็ง 777 แห่งนี้ หากประสบความสำเร็จ ก็จะขยายต่อไปยังสหกรณ์อื่นๆ รวมทั้งองค์กรเกษตรกรต่างๆ ทั่วประเทศ
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะส่งเสริมให้สหกรณ์ที่ดำเนินการตามแผนการผลิตของประเทศให้เข้าถึงทั้งแหล่งทุน ดอกเบี้ยต่ำ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต การขยายตลาด
สหกรณ์กลุ่มแรกที่จะดำเนินการตามแผนการผลิตใหม่ของประเทศจะเริ่มในโครงการปลูกพืชหลังนาเพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เบื้องต้นจะทดลองให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ในจังหวัดอุตรดิตถ์ ปลูกข้าวโพดในพื้นที่ 3 พันไร่ ซึ่งจะดำเนินการในเดือนพฤศจิกายน 2561 นี้ หลังเก็บเกี่ยวข้าวนาปีแล้ว โดยให้สหกรณ์ทำหน้าที่ส่งเสริมตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ เทคโนโลยีการผลิต การรวบรวมข้าวโพดจากเกษตรกรสมาชิกและเจรจากับภาคเอกชนเข้ามารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร ซึ่งหากประสบผลสำเร็จก็จะขยายผลเพิ่มขึ้นอีก 2 ล้านไร่ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ยังมีนโยบายสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ที่เป็น Smart Farmer และ Young Smart Farmer เข้ามาร่วมดำเนินธุรกิจในสหกรณ์เพื่อจะได้นำความคิดใหม่ๆ ความรู้ใหม่ๆ เข้ามาพัฒนาสหกรณ์ให้เข้มแข็งขึ้น . – สำนักข่าวไทย