กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – กกร.ยอมรับสถานการณ์น้ำปีนี้มากกว่าปี 54 แต่กระทบภาคธุรกิจน้อยมาก มองสงครามการค้าสหรัฐ-จีนส่งผลบวกต่อไทย พร้อมคงประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ร้อยละ 4.3-4.8 การส่งออกคาดโตร้อยละ 7-10
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทยในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ( กกร.) แถลงภายหลังการประชุม กกร.เดือนสิงหาคม 2561 ว่า จากการติดตามสถานการณ์น้ำ พบว่าขณะนี้ปริมาตรน้ำในเขื่อนทั่วประเทศสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2554 เบื้องต้น กกร.ประเมินว่าสถานการณ์น่าจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงเท่ากับมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 เนื่องจากปริมาตรน้ำในเขื่อนที่สูงอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันตกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แตกต่างจากปี 2554 ที่ผลกระทบเกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลาง ซึ่งเป็นแหล่งที่ตั้งของหลายนิคมอุตสาหกรรมเป็นหลัก รวมถึงการคาดการณ์พายุที่จะเข้ามาในช่วงฤดูฝนที่เหลือของปีนี้ น่าจะไม่มากเท่ากับช่วงเดียวกันของปี 2554 แต่ยังคงติดตามสถานการณ์อุทกภัยในประเทศต่อไป
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจ กกร.เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังรักษาแรงส่งของการเติบโตที่ดีได้ต่อเนื่อง จากแรงหนุนของการส่งออกและการท่องเที่ยว อีกทั้งมีแรงหนุนเพิ่มจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัว และรายได้เกษตรกรที่กลับมาเป็นบวกติดต่อกัน ซึ่งจะช่วยประคองกำลังซื้อของฐานรากไม่ให้แย่ลง โดยรวมประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2561 จะขยายตัวร้อยละ 4.3-4.8 การส่งออกคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 7.0-10.0 และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 0.9-1.5 ซึ่งเป็นกรอบประมาณการเมื่อเดือนกรกฎาคมของ กกร.
สำหรับระยะข้างหน้า ยังคงต้องติดตามประเด็นเศรษฐกิจต่างประเทศโดยเฉพาะการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน แม้ว่าปีนี้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังมีจำกัด แต่ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอาจจะมีเพิ่มขึ้นปีหน้าถ้าสหรัฐเก็บภาษีจากจีนมากขึ้นทั้งรายการสินค้าและอัตราภาษี รวมทั้งจะส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินในภูมิภาคให้ยังมีแนวโน้มผันผวนอ่อนค่าลงตามการอ่อนค่าของเงินหยวนด้วย
นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สงครามการค้าที่เกิดขึ้นขณะนี้ยังไม่กระทบการส่งออกไทยและไทยรับผลทางบวกต่อการส่งออกมากกว่า เนื่องจากสินค้าจากสหรัฐไม่สามารถส่งเข้าไปขายในจีนได้นักธุรกิจนักลงทุนสหรัฐที่มีฐานธุรกิจในประเทศไทยก็จะทำการส่งสินค้าจากประเทศไทยเข้าไปขายที่จีนแทน
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ผลจากสงครามการค้าจีนสหรัฐส่งผลบวกต่อไทยมากกว่า เพราะขณะนี้นักลงทุนหลายประเทศสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ส่วนผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของไทยจากการขึ้นภาษีสินค้ากลุ่มเหล็กและอลูมิเนียมที่ส่งไปขายในสหรัฐ ก็ยังได้รับผลกระทบอยู่รวมถึงสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อย่างเครื่องซักผ้า เป็นต้น แต่ในภาพรวมยังไม่ปรากฎผลกระทบชัดเจน นอกจากนี้ เงินบาทที่อ่อนค่าลงช่วงนี้ช่วยให้การส่งออกไทยดียิ่งขึ้น แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการมากกว่าคือ ความมีเสถียรภาพของค่าเงินบาท ซึ่งช่วงนี้ถือว่ายอมรับได้ระดับหนึ่ง
ส่วนการเร่งแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ของประเทศไทยที่ล้าสมัยนั้น ล่าสุดทาง กกร.ส่งทีมเข้าร่วมกับทีมของนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ไขกฎหมายหรือการทำเรคกูเลเตอร์ กิโยติน (Regulatory Guillotine) คือ การปรับปรุงและยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพ ช่วยลดต้นทุนผู้ประกอบการ จากปัจจุบันไทยมีประมาณ 700,000 ฉบับ รัฐบาลตั้งเป้าลดเหลือ 6,500 ฉบับ และที่สุดเหลือ 1,000 ฉบับ รวมถึงเรื่องการอำนวยความสะดวกรวดเร็วการขอวีซ่าของต่างชาติ ซึ่งนายกอบศักดิ์ ระบุว่า จะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมเดือนกันยายนนี้. – สำนักข่าวไทย