นนทบุรี 2 ส.ค. – ไทยร่วมหารือสหรัฐแก้ไขอุปสรรคการค้า เสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุน พร้อมย้ำให้สหรัฐยกเว้นการใช้มาตรการทางการค้าที่กระทบต่อการส่งออกของไทย
น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 24 – 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อหารือกับผู้บริหารระดับสูงของสหรัฐดูปัญหาอุปสรรคทางการค้า การขยายความร่วมมือการค้าการลงทุน ในฐานะมิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมายาวนานกว่า 200 ปี ซึ่งสหรัฐพร้อมร่วมมือเดินหน้าทำงานกับไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าและเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนระหว่างกัน เช่น ข้อกังวลต่อการใช้มาตรการทางการค้าของสหรัฐที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย เช่น การที่สหรัฐประกาศใช้มาตรา 232 ขึ้นภาษีสินค้าเหล็กและอลูมิเนียมจากทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้สินค้าเหล็กและอลูมิเนียมของไทยที่ส่งออกไปสหรัฐถูกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 25 และร้อยละ 10 ตามลำดับ จึงได้มาติดตามเรื่องที่กระทรวงพาณิชย์ของไทยเคยหยิบยกขึ้นหารือกับสหรัฐผ่านทางหนังสือของรัฐมนตรีว่าการฯ และการประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบการค้าและการลงทุนไทย-สหรัฐ (TIFA JC) เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยการหารือครั้งนี้ไทยย้ำขอให้สหรัฐยกเว้นการใช้มาตรการดังกล่าวกับไทย เนื่องจากสินค้าเหล็กและอลูมิเนียมของไทยที่ส่งออกไปสหรัฐมีสัดส่วนน้อยมากไม่ถึงร้อยละ 1 ในตลาดสหรัฐ จึงไม่น่าส่งผลเสียหายต่อความมั่นคงของสหรัฐ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญของการใช้มาตรการ และสหรัฐได้ตอบการทบทวนของผู้ประกอบการใน 4 บริษัทที่ยื่นให้ตรวจสอบผ่านเพียง 1 รายเท่านั้น อีกทั้งไทยยังร่วมมือกับอาเซียนหารือกับจีน เพื่อให้ลดการผลิตเหล็กส่วนเกินไม่ให้ล้นตลาดโลก ตลอดจนไทยเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลป้องกัน ไม่ให้เกิดการแอบอ้างนำสินค้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแหล่งอื่นมาสวมสิทธิ์ว่าเป็นสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากไทย
นอกจากนี้ ไทยยังแสดงความกังวลต่อการเปิดไต่สวนมาตรา 232 ของสหรัฐในสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วน โดยขอให้สหรัฐพิจารณาถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อทั้ง 2 ประเทศ เนื่องจากสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐ เป็นห่วงโซ่ หรือองค์ประกอบที่สำคัญในอุตสาหกรรมต่อเนื่องของสหรัฐ โดยไทยพร้อมหารือและร่วมมือกับสหรัฐ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นและหาทางออกร่วมกันต่อไป ซึ่งสหรัฐรับที่จะนำข้อห่วงกังวลของไทยไปพิจารณา และเห็นพ้องว่าทั้ง 2 ฝ่ายควรจะหารือต่อเนื่อง เพื่อหาทางออกร่วมกันต่อไป
นอกจากนี้ ไทยยังใช้โอกาสนี้หารือกับสหรัฐเรื่องการปฏิรูประบบการค้าพหุภาคีขององค์การการค้าโลก (WTO) และปัญหาที่เกิดขึ้นกับกระบวนการแต่งตั้งสมาชิกองค์กรอุทธรณ์ของ WTO ที่ปัจจุบัน 3 ใน 7 ตำแหน่งขององค์กรอุทธรณ์ได้ครบวาระและว่างลง จึงต้องเร่งสรรหาเพื่อให้กระบวนการตัดสินคดีอุทธรณ์หรือระงับข้อพิพาทใน WTO เดินหน้าต่อไปได้ไม่ชะงักงัน ซึ่งสหรัฐยินดีหากไทยจะมีข้อเสนอแนะเพื่อร่วมกันหาทางออกในเรื่องนี้
โดยไทยยังหารือกับสหรัฐเรื่องที่สมาพันธ์สหภาพแรงงานสหรัฐและสมาคมผู้ผลิตสุกรสหรัฐได้ยื่นขอให้สหรัฐทบทวนการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) แก่ไทย โดยอ้างว่าไทยไม่ได้คุ้มครองสิทธิแรงงานตามมาตรฐานขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และมีการกีดกันเนื้อสุกรของสหรัฐ ซึ่งไทยได้แจ้งสหรัฐว่าหน่วยงานของไทยทั้งภาครัฐ ตัวแทนนายจ้างและลูกจ้างอยู่ระหว่างหารือเพื่อปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ และร่าง พ.ร.บ. รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เพื่อให้ครอบคลุมสถานการณ์ด้านแรงงานในปัจจุบัน และสอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ ซึ่งคาด พ.ร.บ. ที่ปรับปรุงใหม่น่าจะมีผลใช้บังคับได้ภายในปี 2561 ส่วนกรณีเนื้อสุกร เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้บริโภค ไม่ใช่เรื่องการกีดกันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม จึงควรร่วมกันหาออกที่เหมาะสม โดยมีพื้นฐานและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ ซึ่งสหรัฐรับฟังและจะหารือกับไทยเพื่อแลกเปลี่ยนความคืบหน้าเป็นระยะต่อไป นอกเหนือจากการหารือกับภาครัฐของสหรัฐยังได้มีโอกาสหารือกับบริษัทชั้นนำในสหรัฐที่มีการนำเข้าสินค้าจากไทย ทั้งในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร เหล็ก ยานยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและโอกาสทางการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ รวมทั้งการผลักดันให้สหรัฐยกเลิกการใช้มาตรการ 232 กับไทย และคงสิทธิ GSP แก่ไทยต่อไป
ทั้งนี้ ในปี 2560 สหรัฐเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับที่ 3 ของไทย รองจากจีน และญี่ปุ่น ทั้ง 2 ฝ่ายมีมูลค่าการค้ารวม 41,400.82 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ร้อยละ 13.30 โดยไทยส่งออกไปสหรัฐเป็นมูลค่า 26,536.64 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องนุ่งห่ม ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และไทยนำเข้าจากสหรัฐ เป็นมูลค่า 14,864.18 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีสินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ น้ำมันดิบ อุปกรณ์ยานยนต์ แผงวงจรไฟฟ้า เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ไทยเป็นประเทศที่ใช้สิทธิพิเศษทางภาษี หรือ GSP จากสหรัฐ เป็นอันดับ 2 รองจากอินเดีย โดยในปี 2560 ไทยใช้สิทธิ GSP จากสหรัฐเป็นมูลค่าประมาณ 4,150.59 ล้านเหรียญสหรัฐ ในสินค้า เช่น ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ เครื่องยนต์รถยนต์ เครื่องดื่มอื่น ๆ ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ (น้ำมะพร้าว) เครื่องซักผ้า เครื่องสูบเชื้อเพลิง หม้อแปลงไฟฟ้า ถุงมือทำจากยาง และอาหารปรุงแต่ง เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย