คาดได้ผู้ชนะประมูลอีอีซี 5 โครงการใหญ่สิ้นปีนี้

กรุงเทพฯ  1 ส.ค. – รัฐบาลย้ำโครงการหลักอีอีซี 7 แสนล้านบาทจะได้ผู้ชนะการประมูลภายในสิ้นปีนี้ และเสนอ ครม.อนุมัติก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง


นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันในการสัมมนา “อีอีซี เดินหน้า เชื่อมโลกให้ไทยแล่น : โอกาสของนักลงทุนไทย” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า เพื่อเป็นหลักประกันว่าโครงการอีอีซี จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน รัฐบาลจึงยืนยันว่าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลัก 5 โครงการ  มูลค่า 700,000 ล้านบาท จะสามารถได้ผู้ชนะการประมูลและมีการลงนามในสัญญาภายในเดือนมีนาคมปีหน้า จากนั้นจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีก่อนที่จะมีการเลือกตั้งต่อไป ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการรื้อโครงการของรัฐบาลใหม่

สำหรับ 5 โครงการหลัก ประกอบด้วย โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงท่าอากาศยาน  โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 และโครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3


นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า โครงการอีอีซีของรัฐบาลภายใต้การนำพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีถือเป็นโครงการ ที่จัดทำขึ้นเพื่อทั้งภูมิภาคไม่เฉพาะคนไทยเพียงกว่า 60 ล้านคนเท่านั้น แต่ยังรวมทั้งกลุ่มประเทศ CLMV ที่มีขนาดตลาดรวมกัน 230 ล้านคน และหากรวมกับที่ประเทศไทยทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับประเทศศรีลังกาและเร็ว ๆ นี้ ประเทศบังกลาเทศก็มีความสนใจที่จะทำ FTA กับไทยด้วย ขนาดตลาดก็จะเพิ่มเป็น 400 ล้านคน และเมื่ออีอีซี เชื่อมโยงกับจีนและอินเดียที่มีประชากร 1,400 ล้านคนและ 1,200 ล้านคนตามลำดับด้วยแล้วก็จะทำให้ขนาดตลาดรวมเพิ่มเป็น 2,600 ล้านคน และยังเป็นภูมิภาคที่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอีกด้วย ดังนั้น อีอีซีจึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งของไทย และไทยจะเป็นประตูทางการค้าสู่เอเชีย (Gate way) ขยายผลต่อจากการพัฒนาโครงการอีสเทิร์น ซีบอร์ด

ปัจจุบันในสายตาของนักลงทุนมองว่าหากลงทุนในภูมิภาคเอเชียแล้วประเทศเป้าหมายการลงทุนอันดับ 1 คือ จีนขณะที่ไทยอยู่อันดับ 2 ของประเทศเป้าหมายในการลงทุน โครงการของอีอีซีจึงเข้ามาเสริมจุดนี้ได้เป็นอย่างดี

สำหรับความคืบหน้า 5โครงการโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย 1.โครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (สุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง และ สนามบินอู่ตะเภา ) กำหนดได้ผู้ชนะการประมูลในเดือนกันยายน 2561 ที่ขณะนี้มีเอกชนสนใจเข้าซื้อซองร่างขอบเขตการประมูล หรือ TOR จำนวนมากคาดว่าจะเสร็จภายในปี 2566  2.โครงการท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา คาดออก TOR ภายในเดือนตุลาคม 2561 และกำหนดคาดเสร็จภายในปี 2564  3.โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน กำหนดเสร็จปี 2564  4.ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 กำหนดเสร็จปี 2567 และ 5.ท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 กำหนดเสร็จปี 2568


นอกจากนี้ ในแผนการพัฒนาระยะ 5 ปีแรกจะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเขตนวัตกรรมเขตพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิตัล EECd และจะต้องมีการพัฒนาบุคลากรและการศึกษา เพื่อรองรับแนวทางการลงทุนใหม่ที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมชั้นสูงที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ดังนั้น การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร จึงถือเป็นนโยบายหลักที่รัฐบาลให้ความสำคัญ

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า การพัฒนาพื้นที่อีอีซีรัฐบาลเร่งรัดให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม ทั้งด้านกฎหมายอีอีซี การดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลัก ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนในเรื่องสิทธิประโยชน์ที่จะเข้ามาลงทุนในพื้นที่อีอีซี โดยภายในงานสัมมนาครั้งนี้มีภาคเอกชนให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 300 คน และได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการลงทุนที่เป็นประโยชน์ รัฐบาลวางเป้าหมายพัฒนาพื้นที่อีอีซี ได้แก่ จ.ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญในการปฏิรูปประเทศไทย เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและใช้พื้นที่ดังกล่าวให้เป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมใหม่เชื่อมโยงสู่กลุ่มประเทศอาเซียน CLMV และเส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 (One Belt One Road) ในการยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทย ในอนาคต

“ขณะนี้พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้เป็นอย่างดีที่จะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะมุ่งใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของไทยให้กับทุกภาคส่วน ทำให้คนไทยมีรายได้ที่สูงขึ้น เกิดอาชีพใหม่ และโอกาสด้านการลงทุนใหม่ ๆ ให้กับผู้ประกอบการไทยทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็กเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือไทยแลนด์ 4.0 และถือเป็นแนวทางที่สอดรับกับการขยายตัวของภูมิภาคเอเชีย และอาเซียน ที่คาดว่าในทศวรรษหน้าเอเชียจะเป็นตลาดที่มาแรง” นายคณิศ กล่าว

ทั้งนี้ จากแผนการพัฒนาพื้นที่อีอีซี คาดว่าจะก่อให้เกิดการลงทุนรวมทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท หรือ 49,900 ล้านเหรียญสหรัฐภายในระยะเวลา 5 ปี 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์  รองเลขาธิการบีโอไอ เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 มีนักลงทุนยื่นโครงการขอรับส่งเสริมการลงทุนรวม 280,000 ล้านบาท ตลอดปีนี้บีโอไอตั้งเป้าหมายว่าจะมีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวม 720,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี รวม 180,000 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีคาดว่าจะมีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวม 300,000 ล้านบาท

ด้านการส่งเสริมการลงทุน บีโอไอได้วางมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จะช่วยส่งเสริมการลงทุนให้เกิดขึ้นในพื้นที่อีอีซี โดยเฉพาะการให้สิทธิประโยชน์ที่มากกว่าปกติของการลงทุนที่ผ่านมา ซึ่งจะเน้นให้สิทธิประโยชน์ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ การแข่งขันของไทยให้สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มอีก 3 ปีหลังสิ้นสุดระยะเวลายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามเกณฑ์ปกติ และการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น เมืองการบินภาคตะวันออก (สนามบินอู่ตะเภา) และการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECI) จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เพิ่ม 2 ปี จากเกณฑ์ปกติ (รวมสิทธิประโยชน์เดิมเกิน 8 ปีได้ และลดหย่อนอีกร้อย ละ 50 เป็นระยะเวลา 5 ปี)

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า โครงการพัฒนาอีอีซี เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของไทยมีพัฒนาขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ความพร้อมของภาคเอกชนจำเป็นต้องเร่งปรับตัวให้ทันต่อนโยบายการลงทุนของประเทศ  โดยการยกระดับภาคการผลิตในด้านต่าง ๆ ทั้งการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต รวมถึงยกระดับคุณภาพแรงงาน ให้สามารถใช้เทคโนโลยีได้มีประสิทธิภาพ  ซึ่งเชื่อมั่นว่านโยบายการพัฒนาอีอีซี จะส่งผลให้เกิดการขยายตัวด้านการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาไทยมากขึ้น

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การพัฒนาเขตพิเศษภาคตะวันออกปัจจุบันมีความชัดเจนเรื่องนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพราะจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของไทยที่จะเป็นการสร้างโอกาสของประเทศเพิ่มมากขึ้นทั้งในอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพ และการเพิ่มความเข้มแข็งในอุตสาหกรรมหลักเดิม ที่จะส่งผลต่อมูลค่าทางการค้าและส่งออกของไทยเพิ่มสูงขึ้น จากความหลากหลายของสินค้าของไทยที่สามารถเจาะกลุ่มตลาดต่าง ๆ ในทั่วโลกมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจ และบริการใหม่ ๆ ก่อให้เกิดการจ้างงานในระบบที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ที่จะใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ มาเชื่อมโยง กับประเทศในอาเซียน และภูมิภาคอื่น ๆ

นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า รัฐบาลประกาศนโยบายลงทุนในพื้นที่อีอีซี ซึ่งมีงบประมาณสูงถึง 1.7 ล้านล้านบาท ภายใน 5 ปี นับเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก ซึ่งจะสอดคล้องตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่เติบโตทิศทางดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวของการส่งออก การท่องเที่ยว และการจับจ่ายใช้สอยของ ภาคประชาชน รวมถึงราคาสินค้าเกษตรที่ดีขึ้น มาจากแรงหนุนจากการลงทุนของภาครัฐในโครงการต่าง ๆ ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการพัฒนาอีอีซี ทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเป็นจำนวนมาก และยังเป็นการสร้างรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตไปได้ด้วยดีและกระจายตัวไปยังเศรษฐกิจฐานรากอื่น ๆ อย่างเป็นรูปธรรม.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“สุชาติ” จ่อลาออก สส. ให้สภามี สส.ทำงาน

ทำเนียบ 7 ก.ค.-“สุชาติ” เผยเตรียมลาออก สส. เพื่อให้บัญชีรายชื่อลำดับถัดไปได้ขึ้นมา มองให้สภามี สส.ทำงาน นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงธรรมเนียมปฏิบัติของคนที่เป็น สส.ระบบบัญชีรายชื่อ จะลาออกเมื่อเป็นรัฐมนตรี หรือไม่ว่า ที่ผ่านมายังไม่มีการลาออกแต่โดยธรรมเนียมก็ควรจะลาออก เพราะการทำหน้าที่ของรัฐมนตรีก็เต็มเวลาอยู่แล้ว ไม่มีเวลาที่จะไปช่วยงานสภา ซึ่งขณะนี้สภาเสียงปริ่มน้ำ ซึ่งตนมีความตั้งใจที่จะลาออกจาก สส ระบบบัญชีรายชื่ออยู่แล้ว เพื่อให้ สส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับถัดไปได้เลื่อนขึ้นมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สส. ลำดับถัดไปที่จะขึ้นมาเป็น สส.แทนนายสุชาติ คือ นายเอกพร รักความสุข บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 38.-316.-สำนักข่าวไทย

พม.ร้องเอาผิด “จอนนี่ มือปราบ” สร้างรีสอร์ทรุกล้ำที่ส่วนกลาง

บก.ปทส. 7 ก.ค. – จนท.กรมพัฒนาสังคมฯ ร้องตำรวจป่าไม้ตรวจสอบปมรีสอร์ทของ “จอนนี่มือปราบ” อินฟลูชื่อดัง บุกรุกพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำโดมน้อย ในอุบลราชธานี และถูกข่มขู่ไม่ให้เข้าพื้นที่ นายวัชระ โกเสนตอ นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ ได้รับมอบอำนาจจากนายกันตพงศ์ รังษีสว่าง อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำหลักฐานเอกสารเข้าแจ้งความกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. เพื่อให้ดำเนินคดีกับ ด.ต.ยุทธพล หรือ “จอนนี่ มือปราบ” อดีตตำรวจที่ผันตัวลาออกจากราชการมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ กรณีสร้างรีสอร์ทรุกเข้าไปในเขตนิคมสร้างตนเองลำโดมน้อย ตำบลคำเขื่อนแก้ว อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี นายวัชระ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาสังคมฯ รับแจ้งจากนิคมสร้างตนเองลำโดมน้อย ว่ามีผู้เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของนิคมโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยส่วนที่รุกล้ำเข้ามาเป็นพื้นที่ที่นิคมกันไว้เป็นป่าไม้ส่วนกลาง 20% รุกล้ำเข้ามาประมาณ 1 ไร่ และเริ่มก่อสร้างรีสอร์ทเมื่อปี 2564 เป็นต้นมา และทางกรมฯ ก็ได้ลงบันทึกประจำวันและมีหนังสือให้ระงับการดำเนินการรีสอร์ทมาตั้งแต่ปี 2565 แต่เจ้าของรีสอร์ทไม่ให้ความร่วมมือ และยังมาโวยวายที่นิคมฯ ข่มขู่เจ้าหน้าที่ ไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปที่รีสอร์ท ทั้งนี้นิคมสร้างตนเองลำโดมน้อย มีพื้นที่ตามแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองฯ ชัดเจน เนื้อที่ […]

Camp Mystic after Texas floods

เปิดภาพความเสียหายน้ำท่วมแคมป์ในเท็กซัส

เท็กซัส 6 ก.ค.- ทีมกู้ภัย อาสาสมัครและตำรวจ ช่วยกันรื้อถอนเศษซากความเสียหายและซากต้นไม้กิ่งไม้ใกล้ที่ตั้งแคมป์ในรัฐเท็กซัสของสหรัฐ ซึ่งมีนักเรียนหญิง 27 คน สูญหายจากเหตุน้ำท่วมฉับพลันที่เกิดขึ้นเมื่อเช้ามืดวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น   ค่ายมิสติก (Camp Mystic) เป็นค่ายกิจกรรมนักเรียนหญิงล้วน มีนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมในค่าย 700 คน ในช่วงที่เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลันครั้งใหญ่ในเทศมณฑลเคอร์ ทางตอนกลางของรัฐเท็กซัส แคมป์แห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำกัวดาลูปในแถบหุบเขาตอนกลางรัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่เกิดน้ำท่วม ก่อตั้งโดยโค้ชฟุตบอลมหาวิทยาลัยเท็กซัส เมื่อเกือบหนึ่งร้อยปีก่อนในปี 2469 เพื่อให้เยาวชนหญิงได้สัมผัสบรรยากาศแบบคริสเตียนในการพัฒนาตนเอง.-820(814).-สำนักข่าวไทย

กรมอุตุฯ เตือน 4 ภาครับมือฝนถล่ม ระวังน้ำท่วม-น้ำป่าไหลหลาก

กทม. 6 ก.ค.- กรมอุตุฯ เผยประเทศไทยยังมีฝนฟ้าคะนอง เตือน “เหนือ อีสาน ตะวันออก ใต้” รับมือฝนตกหนัก อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก กรมอุตุนิยมวิทยาเผยภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณจังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ทั้งนี้เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเมียนมาตอนบนและลาวตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง พายุโซนร้อน “ดานัส” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้ไต้หวัน ในช่วงวันที่ 6–7 กรกฎาคม 2568 โดยไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย แต่จะทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่ปกคลุมประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธร ย่องให้ข้อมูลตำรวจกองปราบ

12 ก.ค. – อดีตพระครูสิริวิริยธาดา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร แอบย่องเข้าให้ข้อมูลกับตำรวจกองปราบ เวลา 12.05 น. วันที่ 12 กรกฎาคม 2568 อดีตพระครูสิริวิริยธาดา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร เข้าให้ปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ เบื้องต้นส่วมชุด โปโลสีเทา กางเกงวอร์มขายาว ผู้สื่อข่าว พยายามสอบถามว่าวันนี้เข้ามาให้ปากคำกรณีที่ ปรากฏอยู่ในคลิปหรือไม่ ทางอดีตผู้ช่วยเจ้าวาสวัดโสธรฯ ไม่ตอบแต่อย่างใด ผู้สื่อข่าวสอบถามเพิ่มเติมต่ออีกว่า คลิปที่ปรากฏอยู่ตอนนี้ ใช่ตัวเองจริงหรือไม่นั้น ด้านอดีตพระครูสิริวิริยธาดา ปิดปากเงียบ ไม่มีการให้ข้อมูลอะไรกับสื่อมวลชน ก่อนที่จะเดินขึ้นไปให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหน้ากองปราบด้านบน.-414-สำนักข่าวไทย

น้ำป่าทะลักท่วมแพร่ บ้านเรือนเสียหายหนัก

แพร่ 12 ก.ค.-ฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ จ.แพร่ น้ำป่าทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรช่วงกลางดึก เสียหาย 2 อำเภอ เกิดเหตุน้ำป่าไหลหลาก เข้าท่วมพื้นที่ชุมชนในตำบลแดนชุมพล จังหวัดแพร่ และอำเภอร้องกวางบางส่วน เนื่องจากมีฝนตกลงมาอย่างหนักในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้บ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหายในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ลุ่มและแนวทางน้ำธรรมชาติที่รับน้ำจากภูเขาและป่าใกล้เคียง ปริมาณน้ำที่หลากเข้ามาเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องตลอดช่วงคืนที่ผ่านมา ทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านไม่ทันตั้งตัว ทรัพย์สินของประชาชนบางส่วนได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะบ้านโทกค่า อำเภอสอง จังหวัดแพร่ หลายหลังคาเรือนได้รับผลกระทบเนื่องจาก ไม่เคยเกิดเหตุแบบนี้มาก่อน ปีนี้น้ำมากกว่าทุกปี ทำให้เก็บข้าวของไม่ทัน ได้รับความเสียหาย ครั้งสุดท้ายที่เคยท่วม ตั้งแต่ปี 2538 .-สำนักข่าวไทย

จ่อเสนอออกหนังสือเรียกพระเอี่ยวสัมพันธ์สีกา ก. เข้าพบรายตัว

12 ก.ค. – จับตาวันนี้ “บิ๊กเต่า” เข้าพบสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายมหานิกาย เสนอออกหนังสือเรียกพระในสังกัดเอี่ยวสัมพันธ์ “สีกา ก.” มาพบรายตัว แก้เผ็ดแก๊งพระผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรง หลังพบโดดกำแพงวัดหนีผิด เลี่ยงถูกตรวจสอบหลายราย วันที่ 12 ก.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลาประมาณ 12.00 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา รักษาราชการแทนรองเลขาฯ ป.ป.ท. จะเดินทางไปเข้าพบสมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ) ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายมหานิกาย ที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหากรณีพบพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่หลายรูปกระทำผิดวินัยสงฆ์อย่างร้ายแรง ด้วยการแอบไปมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสีกา ก. นอกจากนี้ การเข้าพบสมเด็จพระพุฒาจารย์ ของ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยังเป็นการขอความร่วมมือให้ช่วยทำหนังสือประสานเชิญตัวพระชั้นผู้ใหญ่รูปต่างๆ ที่กระทำผิดปาราชิกจากการมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสีกา ก. และอยู่ในความปกครองของฝ่ายมหานิกาย มาเข้าพบเพื่อตรวจสอบสถานะว่ามีพระรูปใดบ้างที่ลาสิกขา หรือลาสึกไปแล้วบ้าง หรือรูปไหนบ้างที่ยังไม่ได้ลาสิกขาขาดจากความเป็นพระ เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ เนื่องจากปัจจุบันมีกระแสข่าวลือเกี่ยวกับการลาสึกของพระผู้ใหญ่ด้วยตนเอง แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันหลายราย รวมถึงมีพระผู้ใหญ่อีกหลายรายที่หลบหนีออกจากวัด […]

ฝากขังชายคลั่งอ้างเป็นหน่วยรบพิเศษ ค้านประกันตัว

กทม. 12 ก.ค.-ตำรวจคุมตัวชายคลั่งอ้างเป็นหน่วยรบพิเศษ ฝากขัง พร้อมค้านประกันตัว เหตุชายคลั่งอ้างเป็นหน่วยรบพิเศษ อาละวาดในคอนโดหรูย่านรัชดาฯ ตำรวจพยายามควบคุมตัว แต่ถูกแย่งปืนก่อนยิงใส่ตำรวจ เจ็บ 2 นาย โชคดีกระสุนโดนเสื้อเกราะ เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย ทราบชื่อต่อมา คือ “นายจิรศักดิ์” เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่ผ่านมา นั้น เช้าวันนี้ สน.สุทธิสาร พนักงานสอบสวนได้เบิกตัวผู้ต้องหาคนดังกล่าวออกจากห้องควบคุมมาขึ้นรถ เพื่อนำตัวไปขออำนาจศาลฝากขังในความผิดฐาน “ต่อสู้ข้ดขวางการจับกุม และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่” ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเกรงว่าจะหลบหนี.-สำนักข่าวไทย