คาดได้ผู้ชนะประมูลอีอีซี 5 โครงการใหญ่สิ้นปีนี้

กรุงเทพฯ  1 ส.ค. – รัฐบาลย้ำโครงการหลักอีอีซี 7 แสนล้านบาทจะได้ผู้ชนะการประมูลภายในสิ้นปีนี้ และเสนอ ครม.อนุมัติก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง


นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันในการสัมมนา “อีอีซี เดินหน้า เชื่อมโลกให้ไทยแล่น : โอกาสของนักลงทุนไทย” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า เพื่อเป็นหลักประกันว่าโครงการอีอีซี จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน รัฐบาลจึงยืนยันว่าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลัก 5 โครงการ  มูลค่า 700,000 ล้านบาท จะสามารถได้ผู้ชนะการประมูลและมีการลงนามในสัญญาภายในเดือนมีนาคมปีหน้า จากนั้นจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีก่อนที่จะมีการเลือกตั้งต่อไป ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการรื้อโครงการของรัฐบาลใหม่

สำหรับ 5 โครงการหลัก ประกอบด้วย โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงท่าอากาศยาน  โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 และโครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3


นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า โครงการอีอีซีของรัฐบาลภายใต้การนำพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีถือเป็นโครงการ ที่จัดทำขึ้นเพื่อทั้งภูมิภาคไม่เฉพาะคนไทยเพียงกว่า 60 ล้านคนเท่านั้น แต่ยังรวมทั้งกลุ่มประเทศ CLMV ที่มีขนาดตลาดรวมกัน 230 ล้านคน และหากรวมกับที่ประเทศไทยทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับประเทศศรีลังกาและเร็ว ๆ นี้ ประเทศบังกลาเทศก็มีความสนใจที่จะทำ FTA กับไทยด้วย ขนาดตลาดก็จะเพิ่มเป็น 400 ล้านคน และเมื่ออีอีซี เชื่อมโยงกับจีนและอินเดียที่มีประชากร 1,400 ล้านคนและ 1,200 ล้านคนตามลำดับด้วยแล้วก็จะทำให้ขนาดตลาดรวมเพิ่มเป็น 2,600 ล้านคน และยังเป็นภูมิภาคที่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอีกด้วย ดังนั้น อีอีซีจึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งของไทย และไทยจะเป็นประตูทางการค้าสู่เอเชีย (Gate way) ขยายผลต่อจากการพัฒนาโครงการอีสเทิร์น ซีบอร์ด

ปัจจุบันในสายตาของนักลงทุนมองว่าหากลงทุนในภูมิภาคเอเชียแล้วประเทศเป้าหมายการลงทุนอันดับ 1 คือ จีนขณะที่ไทยอยู่อันดับ 2 ของประเทศเป้าหมายในการลงทุน โครงการของอีอีซีจึงเข้ามาเสริมจุดนี้ได้เป็นอย่างดี

สำหรับความคืบหน้า 5โครงการโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย 1.โครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (สุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง และ สนามบินอู่ตะเภา ) กำหนดได้ผู้ชนะการประมูลในเดือนกันยายน 2561 ที่ขณะนี้มีเอกชนสนใจเข้าซื้อซองร่างขอบเขตการประมูล หรือ TOR จำนวนมากคาดว่าจะเสร็จภายในปี 2566  2.โครงการท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา คาดออก TOR ภายในเดือนตุลาคม 2561 และกำหนดคาดเสร็จภายในปี 2564  3.โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน กำหนดเสร็จปี 2564  4.ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 กำหนดเสร็จปี 2567 และ 5.ท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 กำหนดเสร็จปี 2568


นอกจากนี้ ในแผนการพัฒนาระยะ 5 ปีแรกจะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเขตนวัตกรรมเขตพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิตัล EECd และจะต้องมีการพัฒนาบุคลากรและการศึกษา เพื่อรองรับแนวทางการลงทุนใหม่ที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมชั้นสูงที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ดังนั้น การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร จึงถือเป็นนโยบายหลักที่รัฐบาลให้ความสำคัญ

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า การพัฒนาพื้นที่อีอีซีรัฐบาลเร่งรัดให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม ทั้งด้านกฎหมายอีอีซี การดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลัก ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนในเรื่องสิทธิประโยชน์ที่จะเข้ามาลงทุนในพื้นที่อีอีซี โดยภายในงานสัมมนาครั้งนี้มีภาคเอกชนให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 300 คน และได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการลงทุนที่เป็นประโยชน์ รัฐบาลวางเป้าหมายพัฒนาพื้นที่อีอีซี ได้แก่ จ.ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญในการปฏิรูปประเทศไทย เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและใช้พื้นที่ดังกล่าวให้เป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมใหม่เชื่อมโยงสู่กลุ่มประเทศอาเซียน CLMV และเส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 (One Belt One Road) ในการยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทย ในอนาคต

“ขณะนี้พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้เป็นอย่างดีที่จะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะมุ่งใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของไทยให้กับทุกภาคส่วน ทำให้คนไทยมีรายได้ที่สูงขึ้น เกิดอาชีพใหม่ และโอกาสด้านการลงทุนใหม่ ๆ ให้กับผู้ประกอบการไทยทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็กเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือไทยแลนด์ 4.0 และถือเป็นแนวทางที่สอดรับกับการขยายตัวของภูมิภาคเอเชีย และอาเซียน ที่คาดว่าในทศวรรษหน้าเอเชียจะเป็นตลาดที่มาแรง” นายคณิศ กล่าว

ทั้งนี้ จากแผนการพัฒนาพื้นที่อีอีซี คาดว่าจะก่อให้เกิดการลงทุนรวมทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท หรือ 49,900 ล้านเหรียญสหรัฐภายในระยะเวลา 5 ปี 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์  รองเลขาธิการบีโอไอ เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 มีนักลงทุนยื่นโครงการขอรับส่งเสริมการลงทุนรวม 280,000 ล้านบาท ตลอดปีนี้บีโอไอตั้งเป้าหมายว่าจะมีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวม 720,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี รวม 180,000 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีคาดว่าจะมีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวม 300,000 ล้านบาท

ด้านการส่งเสริมการลงทุน บีโอไอได้วางมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จะช่วยส่งเสริมการลงทุนให้เกิดขึ้นในพื้นที่อีอีซี โดยเฉพาะการให้สิทธิประโยชน์ที่มากกว่าปกติของการลงทุนที่ผ่านมา ซึ่งจะเน้นให้สิทธิประโยชน์ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ การแข่งขันของไทยให้สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มอีก 3 ปีหลังสิ้นสุดระยะเวลายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามเกณฑ์ปกติ และการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น เมืองการบินภาคตะวันออก (สนามบินอู่ตะเภา) และการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECI) จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เพิ่ม 2 ปี จากเกณฑ์ปกติ (รวมสิทธิประโยชน์เดิมเกิน 8 ปีได้ และลดหย่อนอีกร้อย ละ 50 เป็นระยะเวลา 5 ปี)

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า โครงการพัฒนาอีอีซี เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของไทยมีพัฒนาขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ความพร้อมของภาคเอกชนจำเป็นต้องเร่งปรับตัวให้ทันต่อนโยบายการลงทุนของประเทศ  โดยการยกระดับภาคการผลิตในด้านต่าง ๆ ทั้งการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต รวมถึงยกระดับคุณภาพแรงงาน ให้สามารถใช้เทคโนโลยีได้มีประสิทธิภาพ  ซึ่งเชื่อมั่นว่านโยบายการพัฒนาอีอีซี จะส่งผลให้เกิดการขยายตัวด้านการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาไทยมากขึ้น

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การพัฒนาเขตพิเศษภาคตะวันออกปัจจุบันมีความชัดเจนเรื่องนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพราะจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของไทยที่จะเป็นการสร้างโอกาสของประเทศเพิ่มมากขึ้นทั้งในอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพ และการเพิ่มความเข้มแข็งในอุตสาหกรรมหลักเดิม ที่จะส่งผลต่อมูลค่าทางการค้าและส่งออกของไทยเพิ่มสูงขึ้น จากความหลากหลายของสินค้าของไทยที่สามารถเจาะกลุ่มตลาดต่าง ๆ ในทั่วโลกมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจ และบริการใหม่ ๆ ก่อให้เกิดการจ้างงานในระบบที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ที่จะใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ มาเชื่อมโยง กับประเทศในอาเซียน และภูมิภาคอื่น ๆ

นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า รัฐบาลประกาศนโยบายลงทุนในพื้นที่อีอีซี ซึ่งมีงบประมาณสูงถึง 1.7 ล้านล้านบาท ภายใน 5 ปี นับเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก ซึ่งจะสอดคล้องตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่เติบโตทิศทางดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวของการส่งออก การท่องเที่ยว และการจับจ่ายใช้สอยของ ภาคประชาชน รวมถึงราคาสินค้าเกษตรที่ดีขึ้น มาจากแรงหนุนจากการลงทุนของภาครัฐในโครงการต่าง ๆ ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการพัฒนาอีอีซี ทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเป็นจำนวนมาก และยังเป็นการสร้างรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตไปได้ด้วยดีและกระจายตัวไปยังเศรษฐกิจฐานรากอื่น ๆ อย่างเป็นรูปธรรม.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ตร.เร่งขยายผลปมอธิการบดี ม.ดัง ถูกหลอกลงทุนเทรดหุ้น

สน.บางซื่อ 12 ก.ย. – อธิการบดีมหาวิทยาลัยชื่อดัง กลายเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์ ถูกหลอกลงทุนเทรดหุ้น สูญเงินกว่า 38 ล้านบาท ตำรวจนครบาลเร่งสอบสวน อายัดเงินทันกว่า 3 ล้านบาท ขยายผลโยงบัญชีม้ากว่า 20 บัญชี จากกรณีอธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ถูกเครือข่ายมิจฉาชีพหลอกลงทุน เสียหายกว่า 38 ล้านบาท พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 และ พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางมาร่วมสอบปากคำผู้เสียหายด้วยตัวเอง ที่สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ ช่วงเที่ยงที่ผ่านมา พล.ต.ต.พัลลภ เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าว พนักงานธนาคารได้ตรวจพบความผิดปกติการถอนเงินจากบัญชีผู้เสียหาย แล้วโอนเงินไปยังบัญชีอื่น 3 บัญชี ซึ่งเป็นบัญชีนิติบุคคล หรือบริษัท เป็นจำนวนเงินกว่า 1 ล้าน 9 แสนบาท จึงได้อายัดไว้ก่อนและติดต่อจากศูนย์ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบไปยังผู้เสียหาย ก่อนทราบว่าผู้เสียหายได้เอาเงินไปลงทุนเทรดหุ้น พร้อมให้ผู้เสียหายตรวจสอบว่า เงินที่โอนไปลงทุนนั้นสามารถถอนออกจากบัญชีในระบบบริษัทได้หรือไม่ ปรากฏว่าผู้เสียหายไม่สามารถถอนเงินได้ เจ้าหน้าที่จึงแน่ใจว่าถูกเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง […]

“เฉลิมชัย” ไขก๊อกหัวหน้าพรรค ปชป. แบบไม่บอกกล่าว

พรรคประชาธิปัตย์ 12 ก.ย.-“เฉลิมชัย” ไขก๊อกจากหัวหน้าพรรค ปชป. แบบไม่บอกกล่าว ด้าน “ชัยชนะ” ยันไม่มีขัดแย้ง ในพรรครักกันดี ไม่มีแพแตก นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ยื่นหนังสือลาออกจากหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ว่า ตนก็เพิ่งทราบข่าว โดยไม่ได้มีการบอกกล่าวล่วงหน้ามาก่อน แต่ยืนยันว่าในพรรคไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งอะไร รักกันดี ทุกคนแต่การตัดสินใจลาออกครั้งนี้เป็นอย่างไรต้องไปถามนายเฉลิมชัยเอง แต่ยืนยันว่า หัวหน้าพรรคกรรมการบริหารพรรค ทุกคนมีความรักใคร่กันดี และตนเชื่อว่านายเฉลิมชัยก็เป็นคนหนึ่งที่รักพรรคประชาธิปัตย์ และทำงานให้กับพรรคมาโดยตลอด ซึ่งตนก็รู้สึกเสียดายและใจหายซึ่งที่ผ่านมานายเฉลิมชัย ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณหรือบอกอะไร สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ จะดำเนินการอย่างไรนั้น นายชัยชนะกล่าวว่า ก็ต้องดำเนินการตามข้อบังคับพรรคและตามกฎหมาย โดยต้องเรียกประชุมวิสามัญ เพื่อนเลือก หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคใหม่เมื่อถามว่าบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้น นายชัยชนะกล่าวว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องทำหน้าที่กันต่อไป ส่วนกรรมการบริหารพรรคก็มาเลือกคัดสรรกันใหม่ และหลังจากนี้ต้องรอดูว่าใครจะเข้ามาบริหารพรรค และกำหนดนโยบายทิศทางพรรคอย่างไร แต่ตนก็เป็นสมาชิกพรรคคนหนึ่งที่ยังยืนหยัด อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อถามว่าการที่นายเฉลิมชัย ลาออกตอนนี้ เป็นสัญญาณอะไรหรือไม่เนื่องจาก มีไทม์ไลน์ จะยุบสภา ภายใน สี่ เดือน จะไปสังกัดพรรคอื่นหรือไม่ ได้ชัยชนะกล่าวว่าอย่ามองเช่นนั้น เพราะตนเชื่อว่านายเฉลิมชัย […]

“รมต.สุชาติ​” ตั้งสอบ​เจ้าอาวาสวัดโสธรฯ​ ปม​ทรัพย์สิน-​สีกา

ทำเนียบ 12 ก.ย.- “รมต.สุชาติ​” ตั้งคณะกรรมการสอบ​เจ้าอาวาสวัดโสธรฯ​ ปม​ทรัพย์สิน​-​สีกา​ หลังถูกร้องสะพัดว่อนโซเชียล​ คาด​ไม่เกิน​ 1 สัปดาห์รู้ผล​ ย้ำให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย นายสุชาติ​ ตันเจริญ​ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเปิดเผยว่า​ มีข้อร้องเรียน ถึงพฤติกรรมของเจ้าอาวาส วัดโสธรวรารามวรวิหาร เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติไม่ถูกต้อง เข้าข่ายกระทำความผิดพระธรรมวินัย อีกทั้งยังมีข้อมูลเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ โดยการร้องเรียนเป็นเรื่องทรัพย์สินและเรื่องสีกา ซึ่งเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ เป็นเจ้าคณะจังหวัด และเป็นพระสังฆาธิการด้วย ดังนั้นจึงต้องให้ความเป็นธรรม ทั้งกับผู้ร้องและประชาชน รวมถึงตัวเจ้าอาวาสด้วย เพราะหากไม่เป็นความจริงจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ตนจึงได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นประธาน​ ตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริงให้ปรากฏ​ โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูง​ รวมถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ​ และให้ผู้ตรวจของสำนักนายกรัฐมนตรีเข้าไปเป็นคณะกรรมการด้วย เพราะไม่ทราบว่าในโลกออนไลน์พูดเพื่อความสนุกสนานหรือไม่ แต่ยอมรับว่าตนก็ได้ยินเรื่องนี้มานาน มีเค้าโครง​ ยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และให้ผู้ร้องสบายใจ​ แต่หากเจ้าอาวาสทำผิดก็ต้องแบบว่าไปตามระเบียบกฎหมาย และต้องแจ้งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาดำเนินการต่อไป เมื่อถามว่าวางกรอบระยะเวลาการตรวจสอบไว้เท่าใด นายสุชาติ​ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้วาง แต่คาดว่าไม่น่าจะเกิน 1 สัปดาห์ เพราะจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นพื้นที่ของตน ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ และตนก็เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ประชาชนเลือกมาเป็นผู้แทน […]

นายกฯ โต้ข่าวเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา เชื่อปชช.เข้าใจ

เมืองทองธานี 12 ก.ย.- นายกฯ โต้ข่าว เปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา บอก ขอเป็นรัฐบาลอย่างเป็นทางการก่อน ชี้ ขั้นตอนยังมีอีกเยอะ เชื่อประชาชนเข้าใจ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสความชัดเจนในการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ทำไมข่าวออกไปอย่างนั้นก็ไม่รู้ ไปบิดเบือน เท่าที่ตนดู พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ก็ยังไม่ได้พูดอะไรชัดเจนขนาดนั้น ต้องคำนึงถึงประชาชนคนไทยเป็นหลักก่อนอยู่แล้ว เมื่อถามถึง กระแสการต่อต้านการเปิดด่าน นายกรัฐมนตรีระบุ ขอให้ตนเข้าไปรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการก่อน ตอนนี้เรายังไม่สามารถให้นโยบายอะไรได้ และการกระทำต่างๆ ยังถือว่าอยู่ภายใต้รัฐบาลปัจจุบันอยู่ ยังไม่ใช่รัฐบาลของตน เมื่อถามต่อว่า ท่าทีของ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 และ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ที่คัดค้านการเปิดด่าน เพราะอาจจะเป็นการส่งเสริมบ่อนการพนันและสแกมเมอร์ นายอนุทิน กล่าวว่า เท่าที่ตนทราบไม่ได้อยู่ดี ๆ จะไปเปิดด่านได้เลย เพราะต้องมีการบรรลุข้อตกลงอะไรอีกเยอะแยะ เมื่อปฏิบัติ ซึ่งต้องรอคณะรัฐบาลของตนเข้าปฏิบัติที่อย่างเป็นทางการก่อน ตอนนี้ตนยังไม่สามารถไปสั่งการหรือให้นโยบายอะไรได้ เมื่อถามว่า […]

ข่าวแนะนำ

จับตาเวทีหารือปราบสแกมเมอร์

15 ก.ย. – พรุ่งนี้ (16 ก.ย.) ต้องเกาะติดการประชุมความร่วมมือไทย-กัมพูชา วางแนวทางปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและสแกมเมอร์ ที่ จ.สระแก้ว ต่อยอดการประชุม GBC ที่เกาะกง เมื่อ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา.-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ยืนยันปิดด่านชายแดนกัมพูชาเป็นหนึ่งในยุทธวิธี

เชียงใหม่ 15 ก.ย. – แม่ทัพภาค 2 บรรยายพิเศษที่เชียงใหม่ ปลุกพลังรักชาติของคนไทย ยืนยันปิดด่านชายแดนกัมพูชาเป็นหนึ่งในยุทธวิธี พร้อมให้ข้อมูลแนวหน้าและคำแนะนำกับรัฐบาล ช่วงบ่ายวันนี้ (15 ก.ย.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 พร้อม พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ร่วมบรรยายพิเศษ บอกเล่า “เรื่องจริงจากชายแดน” ที่หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ศูนย์แม่ริม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ มีนักเรียน นักศึกษา ประชาชนชาวเชียงใหม่ และนักศึกษาวิชาทหาร กว่า 2,000 คน รอให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น โดยแม่ทัพภาคที่ 2 ได้พูดคุยกับคุณยายที่มารอต้อนรับ พร้อมสวมกอดคุณยายอย่างเป็นกันเอง และยังมอบลายเซ็นลงบนรูปถ่ายของตนที่คุณยายเตรียมมาด้วย พล.ท.บุญสิน ได้กล่าวสดุดีเหล่าทหารกล้าที่เสียสละเพื่อแผ่นดินไทย แสดงความเสียใจต่อประชาชนผู้สูญเสีย พร้อมประณามการกระทำของทหารกัมพูชาที่โจมตีเข้ามาด้วยอาวุธหนักโดยไม่เลือกเป้าหมาย พร้อมเน้นย้ำกับน้องๆ เยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มาร่วมฟังบรรยายในวันนี้ว่าขอให้ยึดมั่นใน 3 สถาบันหลักของชาติ มีความรักชาติหวงแหนในผืนแผนดินไทย จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และช่วยกันทำนุบำรุงศาสนา ร่วมแรงร่วมใจสามัคคีกันเป็นพลังให้ประเทศไทยก้าวผ่านหลากหลายความท้าทายในสถานการณ์ปัจจุบันไปให้ได้ ส่วนการเปิดด่านชายแดน […]

ธปท.ย้ำเร่งปลดล็อกบัญชีผู้บริสุทธิ์ ทำให้ร้านค้ามั่นใจ

กรุงเทพฯ 15 ก.ย. – ธปท. ย้ำทุกหน่วยงานร่วมกำหนดเงื่อนไขปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้ร้านค้ามั่นใจรับโอนเงินซื้อสินค้า นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงินฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากปัญหาชาวบ้านถูกระงับธุรกรรมและระงับวงเงิน แต่ไม่ได้ระงับเงินในบัญชีในช่วงเดือนกันยายน 68 ตรวจพบบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชี/สัปดาห์ ยอมรับว่าการคุมเข้มในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการกวาดเอาเส้นทางบัญชีที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งโอนเงินผ่าน e-money และคริบโตฯ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบในบางส่วน ในการทำธุรกรรมทางการเงิน ธปท. จึงเร่งหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดเงื่อนไขร่วมกันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ “ธปท., ธนาคาร, ตำรวจ ศปอท. พร้อมปลดล็อกให้กับผู้บริสุทธิ์ มุ่งเน้นบัญชีจำนวนไม่มาก เช่นวงเงิน 100-500 บาท หรือร้านค้า ที่มีการซื้อของมาประกอบอาหารหรือสินค้าในร้านเป็นประจำในยอดที่ไม่สูงมากนัก กลุ่มเหล่านี้จะเร่งตรวจสอบ เพื่อแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าบัญชีรับทราบ พร้อมทำอย่างรวดเร็ว และมุ่งทำความเข้าใจกับร้านค้า ให้เกิดความเชื่อมั่น และรับเงินโอนจากลูกค้า เพราะที่ผ่านมายอดปฏิเสธรับโอนเงินไม่สูงมากนัก หากตรวจสอบเสร็จแล้วคาดว่าใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึง 1 […]

“อนุทิน” ย้ำนำรายชื่อ ครม.ทูลเกล้าฯ ภายในสัปดาห์นี้

สภาอุตสาหกรรมฯ 15 ก.ย.-“อนุทิน” ย้ำนำรายชื่อ ครม.ทูลเกล้าฯ ภายในสัปดาห์นี้ ปัดตอบใครขาดคุณสมบัติบ้าง แต่ยืนยันนิ่งและครบแล้ว เผยหลังถวายสัตย์ฯ พร้อมแถลงนโยบายต่อสภาทันที เพื่อเดินหน้าทำงานโดยเร็ว นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าในการเตรียมร่างคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา จำเป็นจะต้องเชิญพรรคร่วมรัฐบาลหารือด้วยหรือไม่ ว่า ตอนนี้ได้มีการยกร่างคำแถลงขึ้นมาแล้ว และได้ส่งเนื้อหาในส่วนของกระทรวงที่แต่ละคนรับผิดชอบ ให้พรรคร่วมรัฐบาลพิจารณา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขเพิ่มเติม หรือตัดอะไรที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงนั้นๆ เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับเขามากที่สุด จะได้เข้ามาทำงานได้ ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า สไตล์คนละพรรคแต่พวกเดียวกันใช่หรือไม่ นายอนุทิน หัวเราะ แต่ไม่ได้ตอบคำถาม เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบประวัติของคณะรัฐมนตรี ขณะนี้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รายงานกลับมาแล้วใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ใกล้แล้ว เรียกได้ว่ารายชื่อ 100% แล้ว เหลือเพียงการตรวจสอบประวัติ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติก่อนนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย โดยยืนยันว่าจะต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายภายในสัปดาห์นี้ ส่วนขั้นตอนการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา นายอนุทิน กล่าวว่า เมื่อนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแล้วก็สุดแล้วแต่ท่าน แต่ทันทีที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมลงมาก็จะต้องรอการเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ จากนั้นก็จะเร่งแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ถึงจะสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนี้ได้เตรียมร่างแถลงนโยบายต่อสภาไว้แล้ว ทันทีเมื่อพร้อมก็สามารถให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรนัดหมายวันประชุมได้ทันที ขณะเดียวกัน นายอนุทิน ยังยืนยันด้วยว่า ขณะนี้รายชื่อคณะรัฐมนตรีครบและนิ่งแล้ว ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า […]