กรมการปกครอง แจงขอสัญชาติ 4 คนทีมหมูป่าอะคาเดมี

กรุงเทพฯ 14 ก.ค.- กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงข้อมูลอย่างละเอียด กรณี 4 หมู่ป่าอะคาเดมี “ด.ช.มงคล – ด.ช.อดุลย์ – นายพรชัยและโค้ชเอก” ขอสัญชาติไทย  ระบุกระบวนการทุกขั้นตอนเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และใช้ปฎิบัติเหมือนกันทุกคนที่ขอสัญชาติไทย 


ร.ต.ท.อาทิตย์ บุญญะโสภัต อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า กรมการปกครอง เป็นหน่ายงานรัฐ  ที่รับผิดชอบในเรื่องการพิจารณาให้สัญชาติไทย กับ บุตรของ ชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยกระบวนการ และการดำเนินการทุกขั้นตอนต้องเป็นไปตามกฎหมาย และ มติ คณะรัฐมนตรี วันที่ 7 ธันวาคม 2559 

ทั้งนี้ จากรายงานล่าสุด กรณีทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมี จำนวน 13 คน พบว่า ไม่มีสัญชาติไทย 4 คน โดยเป็นเด็ก  3 คน และผู้ฝึกสอน 1 คน ประกอบด้วย ด.ช.มงคล  บุญเปี่ยม เกิดวันที่ 10 เมษายน 2548 อายุ 13 ปี  ด.ช.อดุลย์  สามอ่อน เกิดวันที่ 21 มิถุนายน 2547 อายุ 14 ปี   นายพรชัย  คำหลวง เกิดวันที่ 3 กันยายน 2545 อายุ 16 ปี และนายเอกพล  จันทะวงศ์ หรือโค้ชเอก อายุ 25 ปี  สาเหตุที่บุคคลทั้ง 4 คนไม่ได้สัญชาติไทยเนื่องจากมีบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าว  ซึ่งข้อมูลที่ตรวจพบปรากฏว่าทั้ง 4 คนไม่ได้แจ้งการเกิด ไม่มีสูติบัตร 


ในส่วนของเด็ก 3 คนได้รับการสำรวจจัดทำทะเบียนราษฎรในกลุ่มบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนตามมติ ครม. วันที่ 18 มกราคม 2548 โดยมีเลขประจำตัว 13 หลักขึ้นต้นด้วยเลข 0 ขณะที่โค้ชเอก มีหนังสือรับรองการเกิดของโรงพยาบาลแม่สาย แต่ไม่ได้แจ้งเกิดและไม่ได้จัดทำทะเบียนราษฎร จึงไม่มีเลขประจำตัว 13 หลัก 

อย่างไรก็ตาม การขอสัญชาติไทยของทั้ง 4 คน จะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 โดยจากข้อมูลที่ได้รับ แม้ บิดามารดาของทั้ง 4 คนไม่ใช่คนสัญชาติไทย  แต่ทั้ง 4 คนเกิดในดินแดนประเทศไทย  ดังนั้นหลักฐานที่แสดงว่าเป็นผู้ที่เกิดในประเทศไทย ได้แก่ สูติบัตรหรือใบเกิด หรือหนังสือรับรองการเกิดที่ นายทะเบียนออกให้ เรียกว่า ท.ร.20/1 จึงเป็นสิ่งสำคัญ 

ขณะนี้ ประเด็นการขอสัญชาติไทยของทั้ง 4 คน จึงต้องเริ่มต้นด้วยการพิสูจน์ว่าพวกเขาเกิดในประเทศไทย และเมื่อได้รับสูติบัตรหรือหนังสือรับรองการเกิดจากนายทะเบียนแล้ว จึงเข้าสู่ขั้นตอนการยื่นขอมีสัญชาติไทยต่อไป


จากข้อมูลในแบบสำรวจเพื่อจัดทำทะเบียนราษฎรของด.ช.มงคล  ด.ช.อดุลย์ และนายพรชัย ระบุว่า ทั้งสามคนเกิดที่ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ดังนั้น บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง ต้องยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนอำเภอ (นายอำเภอ) หรือนายทะเบียนท้องถิ่นเทศบาล (ปลัดเทศบาล) แห่งท้องที่ที่เด็กเกิด เพื่อขอให้นายทะเบียนออกหนังสือรับรองการเกิดตามแบบ ท.ร.20/1 ให้ โดยพยานหลักฐานสำคัญที่จะต้องใช้ได้แก่ บุคคลที่รู้เห็นการเกิด อาจเป็นหมอตำแย ญาติ เพื่อนบ้านใกล้เคียง หรือผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น

อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากอายุของเด็กแล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องพยานรับรอง ส่วนกรณีของโค้ชเอก เนื่องจากมีหนังสือรับรองจากโรงพยาบาลแม่สาย จึงสามารถยื่นเรื่องขอแจ้งการเกิดได้ที่เทศบาลตำบลแม่สาย  เมื่อนายทะเบียนออกสูติบัตรให้แล้ว ก็จะกำหนดให้เลขประจำตัว 13 หลักและเพิ่มชื่อเข้าในเอกสารทะเบียนราษฎร 

สำหรับขั้นตอนต่อไป หลัง ทั้ง 4 คนมีสูติบัตรหรือใบเกิด หรือหนังสือรับรองการเกิด แล้ว ก็คือการยื่นคำขอมีสัญชาติไทย โดยกรณีของเด็กชายมงคล  เด็กชายอดุลย์ และนายพรชัย ถ้าเกิดในประเทศไทยจะเข้าเงื่อนไขตามมาตรา 7 ทวิ วรรคสอง ฯลฯ ซึ่งให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งให้สัญชาติไทยได้ตามหลักเกณฑ์ ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 ธันวาคม 2559   

กรณีของด.ช.มงคล และนายพรชัย จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในกรณีที่ 1) ถ้าเด็กเกิดในประเทศไทยโดยมีบิดาหรือมารดาเป็นชนกลุ่มน้อยที่ทางราชการได้สำรวจจัดทำทะเบียนประวัติไว้ และมีเลขประจำตัว 13 หลัก เช่น ชาวเขา ชาวไทยใหญ่ ไทยลื้อ เป็นต้น บิดาหรือมารดาต้องเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 ปีนับถึงวันที่บุตรยื่นคำขอมีสัญชาติไทย เด็กจะได้รับสัญชาติไทย  ซึ่ง จากการตรวจสอบ พบว่ามารดาของเด็กชายมงคล และนายพรชัย เป็นชาวไทยลื้อหรือชาวไทยใหญ่ที่มีทะเบียนประวัติไว้แล้ว.  

ขณะที่ข้อมูลของด.ช.อดุลย์ ไม่ปรากฏทะเบียนของบิดามารดา และทราบเบื้องต้นว่าด.ช.อดุลย์ อยู่ในการอุปการะเลี้ยงดูของคริสตจักร บิดามารดาทอดทิ้งไปตั้งแต่เล็ก จึงจะเข้าเงื่อนไขตามหลักเกณฑ์ในกรณีที่ 2) ถ้าเด็กเกิดในประเทศไทยแต่ถูกบิดามารดาทอดทิ้ง หรือไม่ปรากฏบิดามารดา เด็กต้องอาศัยอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 10 ปี และจะต้องมีหนังสือรับรองว่าเป็นคนที่ถูกบิดามารดาทอดทิ้ง ซึ่งจะขอเอกสารดังกล่าวได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด เด็กก็จะสามารถขอมีสัญชาติไทย ได้

ขณะที่ โค้ชเอก ก็ จะเข้าตามหลักเกณฑ์ในกรณี ที่ 3) ที่ระบุว่า ถ้าเด็กเกิดในประเทศไทยโดยมีบิดามารดาเป็นคนต่างด้าวที่มิใช่ชนกลุ่มน้อย เด็กจะต้องเรียนหนังสือในประเทศไทยจนจบปริญญาตรี แล้วเอาหลักฐานปริญญาบัตรและผลการเรียน ไปยื่นขอสัญชาติไทย ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มอบอำนาจให้นายอำเภอเป็นผู้อนุมัติ กรณีผู้ขอสัญชาติมีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อนุมัติ กรณีผู้ขอมีสัญชาติมีอายุเกินกว่า 18 ปี 

นอกจากนี้ยังมีหลักเกณฑ์เพิ่มเติมถ้าเด็กเกิดในประเทศไทยโดยบิดาหรือมารดาเป็นคนต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทยด้วยก่อนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2535 การขอสัญชาติไทยสามารถดำเนินการได้อีกช่องทางหนึ่ง ตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ซึ่งกำหนดคุณสมบัติว่าผู้ขอจะต้องมีหลักฐานการเกิด มีเลขประจำตัว 13 หลัก มีความประพฤติดี หรือทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคม และอาศัยอยู่ติดต่อกันในประเทศไทย โดยกฎหมายให้อำนาจนายอำเภอเป็น ผู้พิจารณาอนุมัติ  ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่าบิดาของโค้ชเอก เป็นชาวไทยลื้อที่เกิดในประเทศไทยจริงตามที่เป็นข่าว ถึงแม้จะเสียชีวิตแล้วก็ตาม โค้ชเอกก็สามารถขอมีสัญชาติไทยตามช่องทางนี้ได้ 

สำหรับระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ขั้นตอนการรับคำขอมีสัญชาติไทยพร้อมพยานหลักฐานครบถ้วน จนถึงการพิจารณาอนุมัติของนายอำเภอ จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นไม่ว่าด้วยเหตุใด สามารถขยายเวลาได้อีกไม่เกิน 30 วัน เมื่อรวมแล้วจะต้องไม่เกิน 120 วัน 

ทั้งนี้ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ยืนยัน  หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการใช้ปฏิบัติกับทุกคนที่มีปัญหา และข้อเท็จจริงในลักษณะเดียวกัน มิได้กำหนดขึ้นเพื่อให้ประโยชน์กับเด็กทีมหมูป่าอะคาเดมี หรือบุคคลอื่นใด หรือกลุ่มใดเป็นการเฉพาะ .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ค้น 17 จุดกรุงเทพฯ-ลพบุรี คุมตัว “หลวงพ่ออลงกต-หมอบี”

26 ส.ค.- ตำรวจสอบสวนกลาง ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด “กรุงเทพฯ-ลพบุรี” บุกรวบ “หลวงพ่ออลงกต” หลังพฤติกรรมชัดทุจริตยักยอกเงินบริจาค ขณะที่ “หมอบี” โดนด้วย หิ้วตัวเค้นสอบ เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 26 ส.ค. มีรายงานว่าทางตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผบช.ก. พล.ต.ต. วิทยา ศรีประเสิรฐภาพ ผบก.ป.พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปปพ.ต.อ.มนูญ แก้วก่ำ ผกก.1 บก.ป ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ลพบุรี เพื่อควบคุม หลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี และนายเสกสันน์ หรือหมอบี และพวก ตามหมายจับ ความผิด ม.147, 157 […]

ศาล รธน. สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก”

ศาล รธน. 25 ส.ค.-ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก” ชี้บิดเบือน-ทำเสียหาย ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารข่าว ระบุว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งพิจารณาคดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2568 ไต่สวนพยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกมาให้ถ้อยคำ จำนวน 2 ปาก ได้แก่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางขวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เรื่อง ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ เมื่อเสร็จสิ้นการไต่สวนแล้ว ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้ผู้เข้าฟังการไต่สวนนำข้อมูลการไต่สวนไปเผยแพร่ และห้ามไม่ให้บิดเบือนข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายในลักษณะที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน อันเป็นคำสั่งศาลตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 […]

“แพทองธาร” รีโพสต์โต้คลิปบิดเบือน ยันศาลบอก “นั่งลงครับ”

กรุงเทพฯ 25 ส.ค.- “แพทองธาร” รีโพสต์สตอรี่ไอจี โต้ดรามาคลิปบิดเบือน ยันศาล รธน. บอก “นั่งลงครับ” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รีโพสต์สตอรี่ในอินสตราแกรมของสำนักข่าว VOICE TV ยืนยันไม่เป็นความจริง ต่อกระแสดรามาปล่อยคลิปเสียงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พูดว่า “นั่งลงลูก” ภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวคําปฏิญาณ ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยาน คดีคลิปสนทนากับ ฮุน เซน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งในคลิปดังกล่าวมีข้อความระบุว่า ฟังชัดๆๆ ศาลบอกว่า “นั่งลงครับ” ไม่ใช่ “นั่งลงลูก” อย่างที่มีคนปั่น!! อย่ามั่ว อย่าบิดเบือนข่าว อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงเช้าวันนี้ (25 ส.ค.) นางสาวแพทองธาร จะดำเนินการเรื่องการส่งคำแถลงปิดคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากศาลนัดยื่นคำแถลงปิดคดีภายในวันนี้ ก่อนจะนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม เวลา 15.00 น.-316 -สำนักข่าวไทย

ปลัด มท. สั่งสอบด่วน ปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ

ไอคอนสยาม 25 ส.ค.- ปลัด มท. เผยยังไม่ได้รับรายงานปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ สั่งกรมการปกครองสอบด่วน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานว่า มีกลุ่มบุคคลสแกนม่านตาประชาชนและชักชวนให้เข้าไปใช้แอปพลิเคชันเพื่อแลกกับเงินหรือเหรียญในระบบ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน แต่หากเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง กระทรวงมหาดไทยจะสั่งการให้กรมการปกครองดำเนินการแก้ไขและจัดการอย่างถูกต้องทั่วประเทศอย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง สามารถแจ้งเรื่องมายังกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ทุกจังหวัดดำเนินการตรวจสอบตามข้อเท็จจริง ส่วนกรณีที่มีรายงานว่ายังมีการดำเนินการในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปลัดกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าจะเร่งตรวจสอบทั้งที่สุราษฎร์ธานีและทุกจังหวัดที่ได้รับเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้ การตรวจสอบจะพิจารณาว่าความผิดปกติเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่น หากพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยย้ำให้ประชาชนมั่นใจว่า กระทรวงพร้อมตรวจสอบอย่างโปร่งใส.-319 -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

คนไทยรวมพลังร้องเพลงชาติกึกก้องบ้านหนองจาน

26 ส.ค. – ชาวไทยกว่า 500 คน รวมตัวร้องเพลงชาติ ชูธงไตรรงค์เหนือศีรษะ บริเวณชายแดนบ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว แสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ว่าแผ่นดินนี้คือแผ่นดินไทย เมื่อเวลา 12.30 น. วันนี้ (26 ส.ค.68) ประชาชนไทยกว่า 500 คน มารวมตัวกันบริเวณชายแดนบ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ชูธงไตรรงค์เหนือศีรษะ และร่วมกันร้องเพลงชาติไทย จนเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เพื่อแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ว่าแผ่นดินนี้คือแผ่นดินไทย และพร้อมยืนหยัดเคียงข้างกองทัพในการปกป้องอธิปไตย ชาวบ้านยังจัดเตรียมอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็น ไปมอบให้ทหาร เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ ด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เข้าควบคุมสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอความร่วมมือประชาชนที่มาร่วมชุมนุมให้อยู่ในแนวพื้นที่ที่กำหนดไว้เพื่อป้องกันการเผชิญหน้า “เจ๊เอ๋” ณัฐฐารินทร์ เกษมสารพิพัฒน์ เจ้าหนี้คนดัง บอกว่า วันนี้ประชาชนคนไทยต้องมาเผชิญหน้ากับชาวกัมพูชาด้วยตัวเอง เพราะผู้มีหน้าที่โดยตรงนิ่งเฉย ส่วนที่บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว พลเอกมนัส จันดี เสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และพลโทวันชนะ สวัสดี นำคณะลงพื้นที่ พบมีชาวกัมพูชาสร้างบ้านเรือนรุกล้ำเขตไทย 18 หลัง […]

“หลวงพ่ออลงกต” ยอมสึกแล้ว หลัง “บิ๊กเต่า” เข้าเจรจา

26 ส.ค. – “หลวงพ่ออลงกต” ยอมสึกเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการดำเนินคดีตามกฎหมาย หลัง “บิ๊กเต่า” ร่วมสอบปากคำคดียักยอกเงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุ อดีตพระราชวิสุทธิประชานาถ หรือ พระอลงกต วัดพระบาทน้ำพุ กล่าวคำลาสิกขา ต่อหน้าพระสงฆ์ หลังถูกคุมตัวมาสอบปากคำที่กองปราบตั้งแต่กลางดึกที่ผ่านมา โดยการสอบปากคำ เริ่มตั้งแต่เวลาประมาณตี 5 จนถึงบ่าย 3 โมง อดีตพระอลงกต ให้ความร่วมมือให้ปากคำแต่ไม่ยอมลาสิกขา กระทั่ง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. เดินทางมาสอบปากคำด้วยตนเอง พร้อมเกลี้ยกล่อมให้อดีตพระอลงกต คิดถึงคุณงามความดี และการทำนุบำรุงพระศานาในอดีต ทำให้เจ้าตัวยอมสึกแต่โดยดี ทั้งนี้ ก่อนทำพิธีลาสิกขา อดีตพระอลงกต ยังได้เทศนาทิ้งทวนเป็นครั้งสุดท้ายนานกว่า 20 นาที โดยระบุว่า รู้สึกมีความสุข ที่ได้มีโอกาสบอกเล่าเรื่องราว ที่จะเป็นการรักษาซึ่งศรัทธาของญาติโยม พุทธศาสนิกชนด้วยเหตุที่ได้ทำงานที่เป็นประโยชน์มากว่า 30 ปี ซึ่งบางครั้ง บางเรื่องมีข้อผิดพลาด อยากให้เข้าใจว่า มันมี 2 ด้าน ทั้งเรื่องทางโลก และทางธรรม ซึ่งทั้ง 2 […]

ครม.ให้กำลังใจนายกฯ ด้าน “แพทองธาร” หวังกลับมาทำงาน

ทำเนียบ 26 ส.ค.- ครม.ให้กำลังใจนายกฯ ขอ 29 ส.ค.นี้ ได้รับข่าวดี ด้าน “แพทองธาร” หวังได้กลับมาทำงาน ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ (26 ส.ค.) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เป็นครั้งแรก ซึ่ง น.ส.แพทองธาร ได้เข้าร่วมประชุมตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยสีหน้าสดใส โดยระหว่างการพิจารณาวาระสำคัญ เช่น การพิจารณารายชื่อนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 69 ประจำปีการศึกษา 2569 ซึ่งนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เคยเรียนหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) หรือ มินิ วปอ. ได้สอบถามและให้ความคิดเห็นในรายชื่อของนักศึกษาบางคน ทั้งนี้ ก่อนปิดการประชุม ครม. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานที่ประชุมฯ ได้เป็นตัวแทนรัฐมนตรีทุกคนกล่าวให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี และขอให้วันที่ 29 ส.ค.นี้ ได้รับข่าวดี นอกจากนี้ ข้าราชการที่เข้าร่วมประชุม […]

“ณัฐพล” สั่งแจ้งเอาผิดกัมพูชา ทำร้ายร่างกาย-รื้อลวดหนาม

ทำเนียบ 26 ส.ค.- “ณัฐพล” ฮึ่ม สั่งกองทัพ-ปชช.แจ้งความเอาผิดกัมพูชา ทำร้ายร่างกาย-รื้อรั้วลวดหนามที่บ้านหนองจาน ด้าน กต. ทำหนังสือประท้วง ย้ำ เป็นอธิปไตยของไทย เตรียมนำปัญหาทั้งหมดคุยวง GBC ก.ย.นี้ ย้ำหน่วยพื้นที่ยิงตอบโต้ได้ทันที ตามกฎการใช้กำลัง พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงชาวกัมพูชาบุกรื้อรั้วลวดหนามและทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ของไทย บริเวณบ้านหนองจาน อำเภอโคกสูงจังหวัดสระแก้ว ว่า สาเหตุที่เกิดขึ้นผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว จะมาพบกับประชาชนที่บริเวณพื้นที่บ้านหนองจาน ทำให้เจ้าหน้าที่นำรั้วลวดหนามมาวางเพิ่มเติม เพราะกังวลว่าชาวกัมพูชาจะมารบกวน จึงทำให้ชาวกัมพูชาตั้งใจจะมารื้อในส่วนที่เป็นรั้วเพิ่มเติม ไม่ใช่ส่วนที่วางไว้ตั้งแต่เดิม จึงได้ให้คำแนะนำกับเจ้าหน้าที่ไปว่า เป็นการปักในพื้นที่ประเทศไทย จะมาทำอย่างนี้ไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย และจะต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายอาญา ซึ่งกองทัพภาคที่หนึ่งหรือกองกำลังบูรพาก็สามารถดำเนินการ แจ้งความข้อหาทำลายทรัพย์สินของทางราชการได้ ซึ่งตนเองได้ย้ำว่าจะต้องไม่มีภาพแบบเมื่อวานเกิดขึ้นอีก เพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนรับไม่ได้ พลเอกณัฐพล ยอมรับว่าการนำชาวบ้านมากดดันทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานลำบากมากขึ้น จึงมอบหมายให้ทำหนังสือประท้วงผ่านกระทรวงการต่างประเทศ เพราะเป็นพื้นที่อธิปไตยของไทย ที่ไม่สามารถมาทำเช่นนี้ได้ ส่วนการปฏิบัติการ จะใช้มาตรการเดียวกับการปราบปรามการชุมนุมหรือไม่ พลเอกณัฐพล กล่าวว่า การปฏิบัติการจะเป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งขั้นแรกได้ใช้ เครื่องแอลแรท (LRAD) ไปแล้ว เราต้องเตรียมกำลังเพิ่มเติม โดยจะพิจารณาใช้กำลังตำรวจ เพราะหากใช้กำลังทหารจะรุนแรงเกินไป […]