ดีเอสไอ 10 ก.ค.ดีเอสไอ แจงการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการปล่อยกู้กลุ่มกฤษฎามหานคร ทำตามกฎหมาย โดยไม่มีอำนาจดำเนินคดีอาญากับ2อดีตกรรมการธนาคารกรุงไทยและแบงก์ชาติตรวจแล้วไม่เข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน
พ.ต.อ. ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการดำเนินคดีการปล่อยกู้กลุ่มกฤษฎามหานคร หลังจากนายวันชัย บุนนาค ทนายความอิสระ ได้ยื่นหนังสือถึงอธิบดีดีเอสไอให้ดำเนินคดีกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ทั้ง 5 คน
ประกอบด้วย นายวิโรจน์ นวลแข, ร้อยเอก สุชาติ เชาว์วิศิษฐ, นายมัชฌิมา กุญชร ณ อยุธยา, นายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์ และนายอุตตม สาวนายน ในความผิดฐานฟอกเงิน และตั้งข้อสังเกตว่าดีเอสไอเลือกปฎิบัติในการดำเนินคดีกับบุคคลบางคนเท่านั้น ว่า กรณีดังกล่าว ดีเอสไอตรวจสอบแล้วพบว่า นายวันชัยได้ยื่นเรื่องมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2558 และพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำ รวมทั้งได้หารือไปยังอัยการสูงสุดว่า
กรมสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจดำเนินคดีอาญากับกรรมการธนาคารกรุงไทยฯ อีก 2 คน ที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีโดย ป.ป.ช. คือ นายชัยณรงค์ และ นายอุตตม ได้หรือไม่ ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดมีหนังสือตอบข้อหารือ เลขที่ อส.0010.4/6358 ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2559 แจ้งว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่มีอำนาจดำเนินคดี
ส่วนคดีฐานฟอกเงินนั้น บุคคลดังกล่าวเกี่ยวข้องในชั้นการพิจารณาอนุมัติเงิน อันเป็นคนละขั้นตอนกับการโอน รับโอน หรือดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำผิดอันจะเป็นความผิด จึงไม่มีการดำเนินคดีฐานฟอกเงิน
อย่างไรก็ตาม กรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีหนังสือส่งคำกล่าวโทษของนายวันชัย เรื่องกรรมการทั้งสองคน ไปยังสำนักงาน ป.ป.ช.เพื่อพิจารณาแล้ว
ส่วนเรื่องของธนาคารกรุงเทพฯ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลตามกฎหมาย ได้ตรวจสอบไม่พบความผิดปกติในการดำเนินการของธนาคารฯ กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงมิได้ดำเนินคดี ซึ่งประเด็นของนายวันชัยทั้งหมด กรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีหนังสือแจ้งผลการดำเนินการให้นายวันชัยทราบแล้ว ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559
ทั้งนี้หนังสือที่นายวันชัย บุนนาค ทนายความอิสระ ได้ยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุให้ดำเนินคดีกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ทั้ง 5 คน ประกอบด้วย นายวิโรจน์ นวลแข, ร้อยเอก สุชาติ เชาว์วิศิษฐ, นายมัชฌิมา กุญชร ณ อยุธยา, นายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์ และนายอุตตม สาวนายน ในความผิดฐานฟอกเงิน
โดยระบุว่า จากคำวินิจฉัยของศาลฎีกา ที่ได้พิพากษาลงวันที่ 26 สิงหาคม 2558 ว่า คดีการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้เครือกฤษดามหานคร เพื่อนำไปชำระคืนเจ้าหนี้เดิม คือ ธนาคารกรุงเทพ เป็นการกระทำความผิดและคดีถึงที่สุดแล้ว และได้พิพากษาแล้วว่า การนำเงินกู้ที่ได้ไปใช้ผิดประเภท ในคดีดังกล่าวเป็นคดีมูลฐาน เข้าข่ายการกระทำความผิดทางอาญาฐานฟอกเงิน และไม่มีกฎหมายใดยกเว้นไว้ว่า บุคคลใดที่เข้าข่ายการกระทำความผิดฐานฟอกเงินนั้น หากถูกดำเนินคดีอาญาแล้ว จะได้รับการยกเว้นโทษในคดีความผิดฐานฟอกเงินด้วย อีกทั้งธนาคารกรุงเทพได้ออกหนังสือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นที่มาของการลดหนี้ และนำเงินไปใช้ผิดประเภท เข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินกว่า 3,300 ล้านบาท กระจายไปยังบุคคลต่างๆ มากกว่า 100 ราย แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าคณะกรรมการ ปปง. เลือกดำเนินคดีร้องทุกข์กับบุคคลที่เข้าข่ายกระทำความผิดเพียงบางรายเท่านั้น โดยไม่ดำเนินคดีกับธนาคารกรุงเทพ และอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นต้นเหตุของการฟอกเงิน ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตนได้เดินทางมายื่นหนังสือพร้อมพยานหลักฐาน ให้ดีเอสไอดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องแล้วกว่า 10 ครั้ง แต่ยังไม่พบว่าดีเอสไอจะดำเนินการอย่างไร โดยเฉพาะการเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาดำเนินการตรวจสอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งในประเด็นดังกล่าวอาจทำให้สังคมตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ ดำเนินคดีกับบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น.-สำนักข่าวไทย