กรุงเทพฯ 21 มิ.ย. – หอการค้าไทยเผยดัชนีเชื่อมั่นหอการค้าไทย พ.ค.อยู่ที่ 47.7 แนะรัฐเร่งเบิกจ่ายกระตุ้นการใช้จ่ายและลงทุน ชี้สงครามการค้าไม่กระทบส่งออกไทย คาดปีนี้ขยายตัวร้อยละ 8-10
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เพื่อเป็นตัวสะท้อนและชี้วัดด้านเศรษฐกิจและธุรกิจในภูมิภาคของไทย ทำให้เห็นว่าผู้ประกอบการของไทยแต่ละภาคมีความเชื่อมั่นและมีความพร้อมลงทุนมากน้อยแค่ไหน โดยดัชนีดังกล่าวคำนวณจากเศรษฐกิจโดยรวม การบริโภค การลงทุน การท่องเที่ยว ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า การค้าชายแดน ภาคบริการ และการจ้างงาน ค่าเต็มอยู่ที่ 100 จุด มีค่ากลางที่ 50 จุด ถ้ามากกว่าค่ากลางแสดงว่าดีมาก แต่หากต่ำกว่า แสดงว่าสถานการณ์แย่ลง
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของหอการค้าไทยเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ 47.7 ลดลงจากเดือนเมษายนที่อยู่ 49.4 เนื่องจากความกังวลด้านภาคเกษตรที่ราคาสินค้าเกษตรยังคงต่ำ ส่วนการบริโภครวมถึงการลงทุนของเอกชนยังชะลอตัวจากราคาน้ำมันสูงขึ้น และกังวลต้นทุนสินค้าจะปรับเพิ่ม ทำให้ความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมย่อลงบ้างเล็กน้อย แต่ยังคงมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง
ส่วนความเชื่อมั่นต่อภาคอุตสาหกรรมและการค้านั้น ยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ภาคตะวันออกเป็นภาคที่มีความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และธุรกิจในพื้นที่สูงสุด เช่นเดียวกับกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ความเชื่อมั่นปรับขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ความเชื่อมั่นปรับตัวลง เนื่องจากราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ทำให้รายได้ลดลง ขณะที่มองว่าต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
ด้านนายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยจะเห็นว่าปัญหาสำคัญของภาคธุรกิจในภูมิภาค คือ การชะลอตัวของการบริโภค รายได้ยังกระจุกตัวบางพื้นที่ และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ จึงต้องการเสนอแนะให้ภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณตามแผน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุน รวมทั้งต้องสร้างแรงจูงใจให้เกิดการสร้างกิจกรรมในเมืองรอง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงการทำกิจกรรมในท้องถิ่น เพื่อการค้า การลงทุน และกระจายรายได้ให้กับชุมชน นอกจากนี้ ต้องเพิ่มมาตรการด้านการตลาด สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน สร้างรายได้ให้กับภาคเกษตรมากขึ้น
ส่วนสงครามการค้านั้น ไม่น่าจะกระทบกับการค้าของไทย เนื่องจากสินค้าที่สหรัฐมีมาตรการกีดกันไม่ได้เป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย และสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนเป็นสินค้าที่ไทยไม่ได้ส่งออกไปจีนอยู่แล้ว และมองว่าการตั้งกำแพงภาษีเป็นสัดส่วนต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจของจีนน้อยมาก แต่อาจจะเป็นโอกาสที่จีนจะหันมาทำการค้ากับอาเซียนมากขึ้น และเชื่อว่าผู้นำสหรัฐและจีนจะไม่ทำสงครามการค้ายืดเยื้อ หรือบานปลาย เพราะจะฉุดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งมั่นใจว่าไม่กระทบต่อการส่งออกของไทย โดยยังคงคาดการณ์ว่าปีนี้การส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 8-10 และเศรษฐกิจของไทยยังขยายตัวในกรอบร้อยละ 4-5.-สำนักข่าวไทย