กรุงเทพฯ 15 พ.ค.- รองโฆษก ตร.แจงเหตุการณ์ขณะตำรวจเข้าจับกุมนายประภวิษณุ บุญเนื่อง จนถึงขั้นวิสามัญ หลังภรรยาร้องขอความเป็นธรรมว่าตำรวจทำเกินกว่าเหตุ
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. เปิดเผยถึงกรณี ภรรยาผู้ตายร้องขอความเป็นธรรมในคดีที่สามีตนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พรหมคีรี จว.นครศรีธรรมราช วิสามัญฆาตกรรม ว่าเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2561 เวลา 19.00 น. ขณะที่ พงส.สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งเหตุ คนร้ายต่อสู่ขัดขวางการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตํารวจ และใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ตํารวจ และเจ้าหน้าที่ตํารวจใช้อาวุธปืนยิงป้องกันตัวกระสุนปืนถูกคนร้ายเสียชีวิต
จากการสอบสวนสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน ทราบว่าก่อนเกิดเหตุคดีนี้ ในวันเดียวกัน พงส.สภ.พรหมคีรี ได้รับแจ้งจาก นางสาวฐานิศ หริกจันทร์ ภรรยาของนายประภวิษณุ บุญเนื่อง ผู้ตาย ซึ่งได้แยกกันอยู่มาประมาณ 1 ปี สาเหตุมาจากที่ผู้ตายเสพยาเสพติด ทําให้มีเหตุทะเลาะ และทําร้ายร่างกายกันบ่อยๆ โดยนางสาวฐานิศฯ แจ้งว่า เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2561 ขณะที่อยู่ในบ้านพัก อ.พรหมคีรี ผู้ตายได้โทรศัพท์มาขอคืนดี แต่ตนไม่ยอมคืนดีด้วย ผู้ตาย จึงได้พูดข่มขู่ว่าจะมาทําร้าย นางสาวฐานิศฯ กลัวจึงได้ไปนอนค้างคืนที่บ้านยาย ต่อมช่วงเช้าของวันที่ 1 พ.ค.2561 นางสาวฐานิศาฯ ได้ กลับมาบ้านพัก พบว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค กุญแจสํารองรถยนต์ และกุญแจบ้านด้านหลัง ได้สูญหายไป จึงได้ไปร้องทุกข์ต่อ พงส.สภ. พรหมคีรี
โดยในระหว่างนั้น นางสาวฐานิศฯ ได้พบกับ ร.ต.ท.ประทีป สัมพันธมาศ ซึ่งรู้จักมาก่อนเนื่องจากเป็นเพื่อนของบิดา นางสาวฐานิศฯ จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ต่อมาเวลา 16.00 น. ของวันเดียวกัน ทราบว่าผู้ตาย ได้ขับรถยนต์กระบะ อีซูซุ ดีเม็กซ์ สีบรอนด์ หมายเลขทะเบียน ผจ-4099 นครศรีธรรมราช มาเวียนหน้าบ้านพัก นางสาวฐานิศฯ กลัวว่าจะถูกทําร้ายจึงได้มาที่บ้านเพื่อน ต่อมา ร.ต.ท.ประทีปฯ กับพวก ได้ไปที่บ้านพักนางสาวฐานิศฯ และได้ให้ติดต่อทางโทรศัพท์กับผู้ตาย สอบถามเรื่องของที่สูญหายไป ผู้ตายรับว่าได้เอาไปจริง และจะนํามาคืนให้ หลังจากนั้นนางสาวฐานิศฯ ทราบจากเพื่อนว่า ผู้ตายได้จอดรถยนต์อยู่บ้านที่ควนยางแดง อ.พรหมคีรี จากนั้น ร.ต.ท.ประทีปฯ กับพวก จึงได้เดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าว พบรถยนต์ดังกล่าวจอดอยู่ มีผู้ตายเป็นคนขับ จึงได้แสดงตัวเป็นตํารวจเพื่อขอตรวจค้น แต่ผู้ตาย ไม่ยินยอมให้ตรวจค้น และได้ขับรถหลบหนีไปจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขับรถไล่ติดตามไป ก่อนถึงแยกดอนคา ร.ต.ท.ประทีปฯ ได้ขับรถแซงไปประมาณครึ่งคัน และได้สั่งให้ผู้ตายจอดรถ ผู้ตายได้ลดกระจกลง แล้วใช้อาวุธปืนเล็งมาทางรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตํารวจ จนกระทั่งรถแล่นมาถึงสี่แยกดอนคา ผู้ตายได้จอดรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จอดรถด้านท้ายรถยนต์ผู้ตาย จากนั้น จ.ส.ต.สุวิทย์ฯ ได้ลงจากรถ วิ่งไปที่รถผู้ตาย เเต่ผู้ตายได้ขับรถออกไปอย่าง รวดเร็ว จ.ส.ต.สุวิทย์ฯ ได้ใช้อาวุธปืนยิงไปที่ล้อด้านหน้าซ้ายแตก ผู้ตายได้ขับรถหลบหนีไปอีก 100 เมตร แล้วกลับรถ เมื่อมาตรงที่ จ.ส.ต.สุวิทย์ฯ ยืนอยู่ ผู้ตายได้ใช้อาวุธปืนยิงตรงมา ที่ จ.ส.ต.สุวิทย์ จํานวน 1 นัด แต่กระสุนไม่ถูกผู้ใด ผู้ตายได้ขับรถยนต์หลบหนีไปอีก ผ่านสี่แยกนอกท่า สี่แยกน้ําแคบ สี่แยกเบญจมฯ จนมาถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นจุดกลับรถ ก่อนถึงโรงแรมสวีท การ์เดนท์ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ผู้ตาย ได้กลับรถ ขับมุ่งหน้าตรงไปทางสี่แยกเบญจมฯ อีกครั้ง ผู้ตายขับรถพุ่งชน ร.ต.ท.ประทีปฯ จ.ส.ต.สุวิทย์ฯ จึงได้ใช้อาวุธปืนยิงถูกบริเวณประตูด้านขวารถ และผู้ตายได้ชักอาวุธปืนออกมาจะยิง ร.ต.ท.ประทีปฯ ร.ต.ท.ประทีปฯ จึงได้ใช้อาวุธปืนยิงป้องกันตัว กระสุนปืนถูกผู้ตายบริเวณหน้าอก 1 นัด เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
จากการตรวจค้นรถยนต์ พบอาวุธ ปืนขนาด .38 หมายเลขทะเบียน กบ 2/2131 ของนางสาวขวัญจิตร หริกจันทร์ มารดา น.ส.ฐานิศฯ ตกอยู่ โดยในอาวุธปืนพบเครื่องกระสุน จำนวน 3 นัด และปลอกกระสุน ปืน 1 ปลอก และพบยาบ้า จํานวน 107 เม็ด
รอง โฆษก ตร. กล่าวว่า คดีดังกล่าว พงส.ฯ ได้รับคดีไว้สอบสวนจํานวน 3 คดี ดังนี้ 1.สํานวนชันสูตรพลิกศพ มีนางสาวฐานิศฯ เป็นผู้กล่าวหา (ผู้ร้อง) นายประภวิษณุฯ ผู้ตาย 2.สํานวนคดีฆ่าผู้อื่น (วิสามัญฆาตกรรม) โดยมีนางสาวฐานิศฯ ผู้กล่าวหา ร.ต.ท.ประทีปฯ กับพวก ผู้ต้องหา 3.สํานวนคดีต่อสู้ขัดขวาง และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งได้ปฏิบัติตามหน้าที่ มียาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่ายโดยผิดกฎหมาย มีอาวุธปืนและเครื่องเครื่องกระสุนปืนไว้ใน ครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและ ไม่มีเหตุอันสมควรและจําเป็นเร่งด่วน โดยมี ร.ต.ท.ประทีป เป็นผู้กล่าวหา ผู้ตายเป็นผู้ต้องหา
โดยที่ผ่านมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้เน้นย้ำและกำชับให้พนักงานสอบสวนทำงานตามขั้นตอน โดยอาศัยพยานหลักฐานเป็นสำคัญ ดำเนินการด้วยความตรงไปตรงมา โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานและญาติผู้เสียชีวิต โดยไม่ได้กีดกั้นการตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่อยู่แล้ว ซึ่งต้องดำเนินการไปตามขั้นตอนการตรวจสอบ เพื่อให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นและมั่นใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป.-สำนักข่าวไทย