กรุงเทพฯ 5 ก.ย. – สภาผู้บริโภคถกภาครัฐ เร่งหาแนวทางแก้ปัญหาคุณภาพและบริการหลังการขายรถยนต์ไฟฟ้า หลังพบปัญหาร้องเรียนพุ่ง
จากกรณีที่มีผู้บริโภคจำนวนมากได้รับผลกระทบจากปัญหารถยนต์ไฟฟ้าที่บกพร่องด้านคุณภาพ และบริการหลังการขายมากมาย เช่น ขาดอุปกรณ์การชาร์จแบตฯ ที่บ้าน รอเคลมอะไหล่ ไม่ได้รับป้ายขาว บริษัทประกันไม่รับประกัน เป็นต้น สภาผู้บริโภค ในวันที่ 3 กันยายน 2568 ได้ประชุมหารือกับภาครัฐและเอกชน เพื่อจัดทำนโยบายหรือมาตรการแก้ไขปัญหาและเยียวยาความเสียหายที่เป็นรูปธรรมให้กับผู้บริโภค รวมถึงการจัดทำข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อกำหนดนโยบายระยะยาวของประเทศในเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าในระยะต่อไป
นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคที่ใช้บริการรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เนต้า (NETA) ที่มีปัญหาหลายด้าน ทั้งเรื่องอะไหล่และศูนย์บริการที่ไม่ได้ตามมาตรฐาน ในช่วงที่ผ่านมามีผู้ร้องเรียนรวมกว่า 300 กรณี ซึ่งมี 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ ปัญหาด้านบริการหลังการขายและอะไหล่ มีทั้งปัญหาชุดชาร์จแบตเตอรี่ (CDU) ชำรุดบกพร่อง การเผชิญกับปัญหาอะไหล่ที่รอเคลม 74 รายการ ทำให้ผู้เสียหายหลายรายยังไม่ได้รับการเคลม ดีลเลอร์ไม่ส่งข้อมูลเคลมเข้าระบบ ทำให้ยอดเคลมต่ำกว่าความเป็นจริง ข้อมูลลูกค้าบางส่วนไม่สามารถเข้าถึงได้ และต้องขอจากผู้ใช้งานโดยตรง และผู้บริโภคแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการใช้รถทางเลือก เช่น แท็กซี่ หรือ เช่า
ขณะเดียวกันผู้บริโภคระบุว่าไม่ได้รับอุปกรณ์ชาร์จไฟบ้าน (Wall Box) ครบถ้วน รวมถึงระบบไฟบ้านไม่รองรับอุปกรณ์การติดตั้ง Wall Box เกิดปัญหา และค่าใช้จ่ายภายหลังหลายหมื่นบาท รวมถึงหลายกรณีไม่สามารถเคลมประกันที่ทำกับตัวแทนจำหน่าย (ดีลเลอร์) ได้ โดยเฉพาะรถที่ได้รับประกันโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจากโปรแกรมส่งเสริมการขาย ทำให้บริษัทประกันปฏิเสธความคุ้มครอง และต้องสำรองจ่ายค่าซ่อมเอง จึงไม่สามารถติดต่อฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ได้อย่างราบรื่น ส่วนปัญหาด้านการขายและการจดทะเบียน มีทั้งเกิดความล่าช้า ไม่สามารถจดทะเบียนป้ายขาวได้ตามกำหนด การไม่ได้รับเงินมัดจำป้ายแดงคืน หลังจากคืนป้ายแดงแล้ว และบริษัทมีความขัดข้องทางการเงิน
สำหรับการร้องเรียนกรณีรถยนต์เนต้า (Neta) มีผู้เสียหาย 3 กลุ่ม ได้แก่ การไม่ได้รับป้ายขาว 26 กรณี รวมถึงการได้รับป้ายขาวแต่ยังไม่ได้รับเงินมัดจำป้ายแดงคืนจำนวน 33 กรณี การไม่ได้รับอะไหล่ตามสัญญาประกัน/ปิดศูนย์บริการ ต้องซ่อมแซมเอง ขาดความเชื่อมั่นจำนวน 233 กรณี
“กรณีเนต้า สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. 2566 แม้ว่า บริษัท เนต้า ประเทศไทย ได้แจ้งเป็นหนังสือว่าจะแก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ค. แต่ปัจจุบันเดือน ก.ย. ยังมีผู้ร้องเรียนต่อเนื่อง สร้างมาตรการที่เป็นรูปธรรม สร้างความเชื่อมั่นที่ดีต่อผู้บริโภคที่จะเข้ามาเลือกซื้อ รวมถึงเป็นผลดีต่อภาครัฐที่ผลักดันนโยบายลงทุนในด้านนี้” นายอิฐบูรณ์ กล่าว
นางสาววิลาวรรณ อันชำนาญ ผู้แทนจากกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมสรรพสามิตมีหน้าที่หลักในการจัดเก็บภาษีและได้รับมอบหมายให้ดำเนินมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งดำเนินนโยบายลดภาษีอากรขาเข้าและการอนุมัติเงินอุดหนุนแก่ผู้ผลิต โดยปัจจุบันได้ดำเนินการมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV 3.0) ระยะหนึ่งในช่วงปี 2565-2568 ซึ่งมีเงื่อนไขหากเอกชนนำเข้าในช่วงปี 2565-2566 จะต้องผลิตชดเชยในปี 2567 อัตราส่วน 1 ต่อ 1 แต่หากไม่สามารถผลิตได้ทันตามแผน จะขยายไปในปี 2568 ที่ต้องผลิตในอัตรา 1:1.5 เท่า เช่น หากนำเข้า 100,000 คัน ต้องผลิตชดเชย 150,000 คัน ภายในปี 2568
ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์และเงื่อนไข โดยผู้เข้าร่วมมาตรการที่นำเข้ารถยนต์ระหว่างปี 2565-2566 จะได้รับสิทธิประโยชน์ ทั้งการลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% หรือลดลง 6% พร้อมกันนี้ผู้ประกอบการยานยนต์ จะได้รับเงินอุดหนุน 150,000 บาทต่อคัน ซึ่งจะจ่ายให้ภายหลังจากรถได้จำหน่ายและจดทะเบียนโดยประชาชนแล้ว แต่หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข และผู้เข้าร่วมมาตรการไม่สามารถผลิตชดเชยได้ตามกำหนด กรมสรรพสามิตจะดำเนินการเรียกคืนเงินอุดหนุน พร้อมดอกเบี้ย เรียกเก็บภาษีที่ลดให้คืน และเรียกเก็บค่าปรับอีก 1 เท่าของค่าภาษี
สำหรับกรณีของรถยนต์ไฟฟ้าเนต้า เป็นภาคเอกชนที่เข้ามาร่วมมาตรการ EV 3.0 โดยมีบริษัท เนต้า ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมลงนามบันทึกทำความเข้าใจ (เอ็มโอยู) กับกรมสรรพสามิต ซึ่งเนต้า ได้มีการนำเข้ารถยนต์จำนวนหนึ่งในช่วงปี 2565-2566 มีหน้าที่ต้องผลิตชดเชยในปี 2567 และ 2568 โดยบริษัทได้เริ่มผลิตในปี 2567 ผ่านการร่วมมือกับ บริษัท บางชันเยนเนอรัลเอเซมบลี จำกัด (BGAC) ทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตให้แก่เนต้า ในประเทศไทย แต่ได้หยุดการผลิตชดเชยตั้งแต่ต้นปี 2568 เนื่องจากปัญหาของบริษัทแม่ที่ประเทศจีน ดังนั้น สถานการณ์ของเนต้า จึงยังไม่ผิดเงื่อนไขทั้งหมด เนื่องจากกรอบระยะเวลาจะสิ้นสุดในเดือน ธ.ค. 2568 แต่ปัจจุบันกรมสรรพสามิต อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลของบริษัท ทั้งยอดการผลิต ยอดการผลิตชดเชย รวมถึงกรณีในเรื่องค่าปรับ เงินอุดหนุน และดอกเบี้ยต่างๆ
นายปารเมศ ทองเจริญ ผู้แทนจาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่า กรณีปัญหาที่ สคบ. ดำเนินการเรื่องรถยนต์ไฟฟ้ามี 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ ไม่ได้รับการซ่อมตามการรับประกัน (Warranty) สำหรับรถที่เสียที่เกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหาการซ่อมล่าช้า ต่อมามีปัญหาเรื่องรถเสียตามสัญญาประกันภัยและมีการซ่อมล่าช้า รวมถึงการไม่ได้รับอุปกรณ์หรือบริการการชาร์จ (Ball Charge) และความไม่มั่นใจในกรณีที่บริษัทดีลเลอร์อาจปิดตัวลง
ขณะที่กรณีของเนต้า สคบ. ได้เร่งแก้ไขในเรื่องการจดทะเบียนและรับป้ายรถยนต์ได้ดำเนินการครบถ้วนแล้ว รวมถึงการคืนเงิน 3,000 บาท สำหรับป้ายแดงที่ยังไม่ได้รับคืนก็ประสานงานจนครบหมดแล้ว ส่วนความไม่มั่นใจในกรณีที่บริษัทปิดตัวลงนั้น สคบ. ได้ดำเนินการประสานงานกับเนต้า ในเรื่องการซ่อมตามการรับประกัน (Warranty) สำหรับผู้ร้องเรียนไปแล้ว
สำหรับในช่วงที่ผ่านมาได้มีการหารือร่วมกับเนต้า แจ้งว่ามีการนำเข้าอะไหล่ตามแผนเดิมเดือนละ 50 กล่อง แต่จากสถานการณ์ในประเทศจีนที่เปลี่ยนแปลง ทำให้เนต้า จึงอยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ ส่งผลให้การดำเนินการทางการเงินติดขัดตามกฎหมาย มีผลต่อระบบการเคลมการซ่อมตามการรับประกันของเนต้า ที่ค่อนข้างมีปัญหา และปัจจุบัน สคบ. กำลังเตรียมหารือกับเนต้า ในวันที่ 5 กันยายน 2568 เพื่อติดตามความคืบหน้าของการดำเนินงานต่อไป ซึ่งการดำเนินงานต้องพิจารณาต่อผู้ใช้งานรถยนต์เนต้าในประเทศไทยที่มีอยู่ 25,000 คันด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากที่สุด
ด้านข้อกังวลในเรื่องสัญญาประกันภัยนั้น หน่วยงานหลักที่ดูแลคือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) แต่จากการที่ สคบ. ได้เข้าร่วมการประชุม คณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภคสภาผู้แทนราษฎร ได้มีสมาคมประกันภัยชี้แจงว่า รถยนต์เนต้า ในปีหน้าจะมีการรับประกันภัยในชั้น 3 เนื่องจากไม่สามารถจัดหาอะไหล่ได้ ส่งผลให้ไม่สามารถให้บริการได้ตามสัญญารับประกัน ส่วนคนที่มีสัญญาอยู่เดิมยังคุ้มครองอยู่และไม่ได้ยกเลิกแต่อย่างใด
สำหรับ นายสยามณัฐ พนัสสรณ์ อุปนายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ฝ่ายอุตสาหกรรมและการพัฒนาธุรกิจ รายงานถึงสถิติรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย มีการจดทะเบียนในไทยปัจจุบันประมาณ 2 แสนคัน และในปีที่ผ่านมามีการจดทะเบียนใหม่ประมาณ 96,000 คัน ส่วนยอดการผลิตในประเทศทั้งหมดจำนวนเกือบ 5 แสนคัน และโครงสร้างพื้นฐานมีจุดชาร์จทั้งหมด 11,000 จุด ซึ่งมีประมาณ 6,500 จุด ที่เป็นชุดตู้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากระแสตรง (DC Fast Charger)
ด้านกรณีปัญหาของเนต้า ที่เกิดขึ้นนั้น สมาคมกำลังช่วยประสานงานเพื่อช่วยเหลือ ผู้ผลิตคือ บริษัท บางชันเยนเนอรัลเอเซมบลี จำกัด (BGAC) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการไทยที่รับจ้างผลิตให้เนต้า ที่กำลังได้รับผลกระทบเช่นกัน รวมถึงการหารือร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยในประเด็น ประกันรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาแพง ตลอดจนข้อเสนอเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้เครื่องชาร์จ เป็นต้น ตลอดจนการผลักดันให้ผู้ผลินรถยนต์ไฟฟ้าในไทยใช้ชิ้นส่วนในประเทศให้มากที่สุด. -511- สำนักข่าวไทย