กทม. 11ธ.ค. – นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสเฟสบุ๊คถึงการเลือก กกต.ชุดใหม่ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา หลังท้วงติงว่าการคัดเลือกอาจไม่ถูกต้อง โดยระบุว่า อะไรเกิดขึ้นในการประชุมคัดเลือก กกต.ในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา การประชุมครั้งแรก วันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 การเลือกตั้งเป็นการลงคะแนนด้วยบัตร โดยในขั้นแรก บัตรที่เตรียมการมา มีการใส่หมายเลขของบัตร ซึ่งสามารถไปตรวจเช็คภายหลังได้ว่า บัตรนี้เป็นของใคร ลงคะแนนให้แก่ใคร มีการอภิปรายว่า การลงคะแนนดังกล่าวจะไม่เป็นความลับ เนื่องจากสามารถตรวจสอบได้ว่าใครลงคะแนนให้ใคร จนกระทั่งต้องให้รองประธานศาลฎีกาจำนวน 6 ท่าน ไปประชุมกันหลังบัลลังก์ ไปหาข้อสรุปว่า สมควรใช้บัตรแบบใด โดยตามข้อบังคับการประชุมของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าหากเกิดปัญหาในการประชุมให้รองประธานศาลฎีกาไปประชุมปรึกษาหารือเพื่อหาข้อยุติ ซึ่งผลการปรึกษาหารือเสียงข้างมาก เห็นชอบให้เอาหมายเลขกำกับบัตรลงคะแนนออกจึงให้มีการจัดพิมพ์บัตรใหม่ที่มีเพียงหมายเลขของผู้สมัครขึ้นใหม่และใช้เป็นบัตรลงคะแนน และการลงคะแนนให้การคัดเลือก กกต. ครั้งแรก จึงเป็นการที่ ผู้พิพากษาแต่ละคน ทำเครื่องหมายลงในบัตรลงคะแนนที่ไม่มีหมายเลขบัตรกำกับ และนำบัตรลงคะแนนดังกล่าวไปหย่อนในหีบบัตร และมีการนับคะแนนหลังจากการลงคะแนนสิ้นสุดลง
นายสมชัย ยังระบุว่า การประชุมครั้งที่สอง ในวันที่ 6 ธันวาคม 2560 มีการแก้ไขข้อบังคับการประชุมว่า หากมีปัญหาในการประชุม แทนที่จะให้รองประธานศาลฎีกา เป็นผู้วินิจฉัย ให้ใช้มติจากที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาแทน เมื่อมีการทักท้วงว่า สมควรใช้บัตรเลือกตั้งที่มีหมายเลขกำกับ เพื่อให้เป็นการลงคะแนนแบบเปิดเผย จึงมีการขอมติจากที่ประชุมใหญ่ว่าสมควรใช้บัตรเลือกตั้งแบบใดจึงถือเป็นการลงคะแนนแบบเปิดเผย ที่ประชุมใหญ่มีมติ 86 : 77. ให้ใช้บัตรเลือกตั้งเหมือนกับการประชุมครั้งที่แรก คือใช้บัตรเลือกตั้งที่ไม่มีหมายเลขกำกับบัตรที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าใครลงคะแนนให้แก่ใคร การลงคะแนนในการคัดเลือก กกต.ครั้งที่สอง จึงเป็นการที่ให้ผู้พิพากษาแต่ละคนทำเครื่องหมายลงในบัตรลงคะแนนที่ไม่มีหมายเลขกำกับ เช่นเดียวกับการลงคะแนนครั้งที่ 1
นายสมชัย กล่าวว่า ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งประธาน กกต.ในฐานะผู้รักษาการตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะต้องเป็นผู้วินิจฉัยว่า เป็นการลงคะแนนโดยเปิดเผยตรงตาม มาตรา 12 วรรคสาม ของ พ.ร.ป. กกต.หรือไม่.-สำนักข่าวไทย