กรุงเทพฯ 9 พ.ย. – กกพ.เห็นชอบตรึงค่าเอฟทีงวด ม.ค.-เม.ย.ปีหน้าเท่ากับงวด ก.ย.-ธ.ค.ปีนี้ อยู่ที่ – 15.90 สตางค์ต่อหน่วย แม้แนวโน้มราคาก๊าซปรับขึ้น
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. กล่าวว่า กกพ. เห็นชอบตรึงค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติหรือค่าเอฟที ที่จะเรียกเก็บงวดเดือนมกราคม – เมษายน 2561 ที่ -15.90 สตางค์ต่อหน่วย เท่ากับงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2560 ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ 3.5966 บาทต่อหน่วยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้ว่าเดือนมกราคม-เมษายน 2561 ค่าเชื้อเพลิงทุกประเภท ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันเตา และถ่านหิน มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติปรับตัวสูงถึง 15.42 บาทต่อล้านบีทียู ส่งผลให้ค่าเอฟทีงวดมกราคม-เมษายนปีหน้าในส่วนของเชื้อเพลิงสูงขึ้น 20.25 สตางค์ต่อหน่วย
อย่างไรก็ตาม จากการที่เงินบาทปรับแข็งค่ากว่าช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2560 จากที่อยู่ระดับ 34.19 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นมาที่เป็น 33.32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือแข็งค่าขึ้น 0.87 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ต้นทุนซื้อก๊าซลดลงและมีเงินเหลือสะสมตั้งแต่กลางปี 2560 จำนวน 12,566 ล้านบาท จึงนำเงิน 7,313 ล้านบาท มาช่วยตรึงราคาค่าเอฟทีงวดเดือนมกราคม-เมษายนปีหน้าให้คงที่ไว้ที่ – 15.90 สตางค์ต่อหน่วยได้ และยังเก็บไว้ 5,253 ล้านบาท นำไปช่วยพยุงค่าเอฟทีงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2561 ไม่ให้สูงขึ้นมากเกินไป เพื่อช่วยบรรเทาภาระผู้ใช้ไฟฟ้า
ขณะที่ความต้องการพลังงานไฟฟ้าเดือนมกราคม-เมษายน 2561 ปรับตัวลดลงจากช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2560 จำนวน 708 ล้านหน่วย หรือลดลงคิดเป็นร้อยละ 1.14 เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ยอดรวมเท่ากับ 61,628 ล้านหน่วย
ด้านการผลิตไฟฟ้าภาพรวมเดือนมกราคม-เมษายน 2561 ยังคงมีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักผลิตไฟฟ้าถึงร้อยละ 58.83 แต่มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำเพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำที่มีมาก รองลงมาเป็นการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ร้อยละ 11.84 ใช้ลิกไนต์ ร้อยละ 9.38 และถ่านหินนำเข้าร้อยละ 9.25 และยังมีการผลิตไฟฟ้าจากลมและโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้นด้วย.-สำนักข่าวไทย