กรุงเทพฯ14 มิ.ย.-ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป นำตัวแทนผู้เสียหายกว่า 600คน มูลค่าเกือบ 2,000ล้านบาท ยื่นฟ้องคดีอาญากับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และอดีตเจ้าหน้าที่รัฐ ข้อหาประพฤติมิชอบ
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป นำตัวแทนประชาชนบางส่วนจาก 665คน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องดำเนินคดีอาญา กับนายสมชาย ชาญณรงค์กุล อดีตอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นจำเลยที่1 ,นายบุญเสริม ไกรสินธุ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสหกรณ์พื้นที่2 เป็นจำเลยที่2 และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เป็นจำเลยที่3 โดยนำเอกสารคำฟ้อง พร้อมหลักฐานเกือบ 3 หมื่นแผ่นยื่นฟ้องข้อหาหรือฐานความผิด ปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และความผิด อันเนื่องมาจากการประพฤติมิชอบ
นายไพบูลย์ กล่าวว่า การยื่นฟ้องครั้งนี้มีโจทก์เป็นประชาชนกว่า 600 คนได้รับความเดือดร้อน จากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น มูลค่าความเสียหายเกือบ 2พันล้านบาท และการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของอดีตอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์และอดีตผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสหกรณ์ฯ โดยร่วมกันสนับสนุนช่วยเหลือสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น กระทำความผิดต่อกฎหมายอาญาฐานฉ้อโกงประชาชน และความผิดตาม พระราชกำหนดว่าด้วยการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนด้วย แต่จนถึงขณะนี้ผู้ถูกฟ้องดังกล่าวยังไม่ถูกฟ้องเอาผิด ดำเนินคดีแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น 5,400คน มูลค่าความเสียหายรวม 12,000 ล้านบาท โดยแบ่ง เป็นเสียหายจากเงินออมทรัพย์ 3,500ล้านบาทและเสียหายเป็นเงินฝากสะสมหุ้น 4,600ล้านบาท ซึ่งถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้รับเงินคืนส่วนนี้ทั้งหมด เพราะกรมส่งเสริมสหกรณ์ สนับสนุนให้ใช้กระบวนการฟื้นฟูสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ได้สร้างปัญหาซ้ำเติมร้ายแรงให้แก่ประชาชนผู้เดือดร้อน ควรจัดตั้งกองทุนติดตามทรัพย์สิน ซึ่งศาลได้รับคำฟ้องไว้เป็นคดีดำหมายเลข อท.325/2560 เพื่อนัดฟังคำสั่งต่อไป
นายไพบูลย์ ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ยังกล่าวถึงกรณีการตรวจสอบทรัพย์สินของวัด ว่า ด้วยระบบการบริหารจัดการทรัพย์สินวัดไม่มีความโปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายควบคุม ดังนั้นจึงเป็นช่องโหว่ให้กลุ่มมิจฉาชีพ แฝงตัวหาผลประโยชน์ทั้งรูปแบบฆราวาสและพระภิกษุ ที่ผ่านมาเสนอให้มหาเถรสมาคมออกกฎหมายควบคุมมาโดยตลอด ซึ่งถึงเวลาแล้วที่ต้องมีข้อบังคับอย่างชัดเจน บนพื้นฐานตามหลักพระธรรมวินัย .-สำนักข่าวไทย