รพ.จุฬาฯ21 เม.ย.-ราชวิทยาลัยสูติฯ ตั้งข้อสังเกต ขนย้ายอสุจิข้ามแดนไม่น่าใช่ คาดเป็นตัวอ่อนที่ผ่านการผสมแล้ว เพราะไทยมีเทคโลยีดีกว่าเพื่อนบ้าน แนะตำรวจตรวจหาพันธุกรรมเพื่อให้ทราบผลสัญชาติ ย้ำไม่ว่าที่ทำใช่หรือไม่ใช่แพทย์ มีการขนย้าย นำเข้าอสุจิ ไข่หรือตัวอ่อน มีโทษทางกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ทั้งจำและปรับ
นพ.กำธร พฤกษานานนท์ กรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโล ยีช่วยการเจริญพันธุ์ กล่าวถึงกรณีข่าว การพบขบวนการขนอสุจิ ข้ามประเทศ ว่า เรื่องนี้ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ไม่ได้ นิ่งนอนใจ มีการหยิบยกนำมาหารือ โดยราชวิทยาลัยมุ่งให้น้ำหนักเรื่องของเหลวภายในหลอดที่อยู่ในถังไนโตรเจน ว่าน่าจะเป็นตัวอ่อน ที่ผ่านการผสมระหว่างอสุจิกับไข่มาแล้วมากกว่าเป็นเชื้ออสุจิ ที่สามารถเก็บที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง อีกทั้งประเทศไทยมีความ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการช่วยการเจริญพันธุ์มากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน จึงคาดว่าน่าจะเป็นตัวอ่อนมากกว่า
นพ.กำธร กล่าวว่า สำหรับการแช่เย็นเชื้ออสุจิและตัวอ่อน ไม่แตกต่างกัน ต้องอาศัยอุณหภูมิที่เป็นลบ ถึงขั้น 190 องศาเซลเซียสและต้องทำให้ห้อง ปฏิบัติการ โดยผู้มีความรู้ คนทั่วไปไม่สามารถทำได้ กระบวนการตรวจ สอบว่าจะเป็นเชื้ออสุจิหรือตัวอ่อน สามารถทำได้ และใช้เวลาไม่นาน เพียงแต่ต้องละลายน้ำแข็งที่เกาะภายในหลอดและส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ ก็สามารถทราบโดยลักษณะทางกายภาพ แต่ก็ควรตรวจพิสูจน์ลึกถึงระดับดีเอ็นเอ เพื่อให้ทราบว่าพันธุกรรมของเชื้อดังกล่าว ว่า เป็นสัญชาติอะไร
ส่วนโทษที่จะได้รับไม่ว่าจะเป็นอสุจิหรือตัวอ่อนหรือไข่ ผู้ดำเนินการขนย้าย หรือส่ง ไปไม่ว่าจะใช่แพทย์หรือคนทั่วไป ก็จะต้องได้รับโทษ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยี ช่วยการเจริญพันธุ์ ตาม ม.41 ที่ ระบุ ห้ามไม่ให้ผู้ใด ซื้อ เสนอซื้อขาย นำเข้า ซึ่ง ตัวอ่อน ไข่ อสุจิ มิเช่นนั้นจะได้รับโทษ จำคุก 3 ปี ปรับ 60,000 บาท และห้ามผู้ที่ดำเนินการไม่ใช่แพทย์ ก็จะได้รับโทษ ตาม ม.35 ห้ามมิให้ผู้ใดที่มิใช่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ทางการแพพทย์ ทั้งการฝาก รับบจาค ไข่ อสุจิ ตัวอ่อน หรือตัวอ่อนที่ทำให้สิ้นสภาพ มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท และยังมีความผิดตาม ม.36 ที่ระบุห้ามมิให้ผู้ใดสร้างตัวอ่อนเพื่อกิจการใด ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาผู้มีบุตรยาก ในคู่สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย .-สำนักข่าวไทย