กรุงเทพฯ 20 เม.ย.- โรงกลั่นน้ำมัน ฟันธง 10 -20 ปี ยังไม่ได้รับผลกระทบจากรถยนต์ไฟฟ้า เพราะยังมีสัดส่วนการผลิตที่ยังต่ำเมื่อเทียบกับความต้องการรถยนต์ใหม่ทั่วโลก
จากกระแสรถไฟฟ้าที่มาแรงทั่วโลก ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นโรงกลั่นต่างห่วงถึงอนาคตกิจการโรงกลั่นจะได้รับผลกระทบ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และกรรมการ บมจ.ไทยออยล์ ชี้แจงว่า จากการศึกษาข้อมูลพบว่า ในระยะสั้นถึงระยะกลาง 10-20 ปี โรงกลั่นจะยังไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากแต่ละปีการซื้อรถใหม่ทั่วโลกจะมีประมาณ 90 ล้านคัน ซึ่งเกือบทั้งหมดยังเป็นน้ำมัน โดยในส่วนของรถไฟฟ้าเช่น เทสลาใ นปีหน้าจะผลิตออกมา 4-5 แสนคันต่อปี และหากเพิ่มกำลังผลิตได้ 10เท่าตัวใน 5 ปีข้างหน้า ก็จะผลิตได้ 5 ล้านคัน/ปี ประกอบกับรถเก่าก็ยังมีความต้องการใช้น้ำมันต่อเนื่อง
“โรงกลั่นต้องปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้นเพื่อลดต้นทุนเพิ่มรายได้ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธุรกิจผลิตรถยนต์อาจได้รับผลกระทบเพราะผู้ซื้อรถใหม่จะรอเทคโนโลยีทั้งอีวี,ปลั๊กอินไฮบริดจ์,และเชื้อเพลิงพลังงานทดแทนใหม่ๆ ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลปรับตัวประกาศแผนส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยชิ้นส่วนหลักที่ต้องเน้นส่งเสริมคือ แบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า”นายศิริ กล่าว
ทั้งนี้ไทยออยล์ อยู่ระหว่าง การศึกษาลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project:CFP) มูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และมีความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบ ตลอดจนขยายกำลังการกลั่นน้ำมันเป็นระดับ 4 แสนบาร์เรล/วัน จาก 2.75 แสนบาร์เรล/วัน
ด้านนายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวเช่นกันว่า ในระยะสั้น รถอีวียังไม่มีผลต่อปั๊มน้ำมันคาดว่าน่าจะมีประชากรรถอีวีมากขึ้นหลัง 15 ปีไปแล้ว โดยเทรนด์เช่นนี้บางจากจึงต้องปรับตัวไปสู่ธุรกิจรอบด้านไม่จำกัดเฉพาะน้ำมันเท่านั้นเช่นการลงทุนเหมืองแร่ลิเธียมเพื่อนำไปจำหน่ายในธุรกิจ Energy Storage ซึ่งใช้ได้ทั้งรถไฟฟ้าและธุรกิจไฟฟ้าพลังงานทดแทน
ทั้งนี้บางจากฯลงทุนเหมืองแร่ลิเธียมของบริษัท Lithium Americas Corp. หรือ LAC ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตรอนโต ประเทศแคนาดา ที่ดำเนินโครงการเหมืองลิเธียมในประเทศอาร์เจนตินาและประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันถือหุ้นร้อยละ 16.4 โดยจะพิจารณาการเข้าซื้อเพิ่มหลังจากที่เหมืองแร่ลิเธียมทำการผลิตในช่วงปี 2562 แล้ว ด้วยกำลังผลิต 25,000 ตันต่อปี ซึ่งเชื่อมั่นว่าผลตอบแทนจะค่อนข้างดี เพราะมีต้นทุนการผลิตที่ประมาณ 2,000-3,000 บาทต่อตัน แต่มีราคาขายอยู่ที่ 20,000 บาทต่อตัน โดยมีตลาดใหญ่อยู่ที่ประเทศจีน — สำนักข่าวไทย