ชัวร์ก่อนแชร์ Motor Check : ยาห้ามใช้ก่อนขับรถ จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์ว่า ยาบางชนิด ห้ามใช้ก่อนขับขี่รถยนต์ เพราะอาจทำให้เกิดการง่วงซึม และเป็นอันตรายในขณะขับรถได้ เรื่องนี้จริงหรือไม่ ?


🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ ภาควิชาอาหารและเภสัชเคมี คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

มียาหลายชนิดไม่ควรกินถ้าจะต้องขับรถหรือทำงานกับเครื่องจักร รวมถึงคนที่ทำงานอยู่บนที่สูง จะทำให้เกิดอันตรายได้ เพราะยาเหล่านี้มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดภาวะง่วงซึมได้ มีทั้งง่วงมากและง่วงน้อย


ภาวะ “ง่วงซึม” ที่เกิดจากการกินยาเรียกว่า “ผลข้างเคียงจากยา” (side effect) ซึ่งรบกวนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

ยาชนิดที่ 1 “ยาแก้ปวด” ห้ามกินก่อนขับรถ จริงหรือ ?

ยาแก้ปวดทุกชนิดไม่ได้มีผลข้างเคียงทำให้ง่วง


ตัวอย่างยาแก้ปวดที่กินแล้วไม่มีภาวะง่วงซึม ได้แก่

1. ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ที่ทางการแพทย์เรียกว่า “อะเซตามีโนเฟน (Acetaminophen)

2. ยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs : non-steroidal antiinflammatory drugs) เป็นยาบรรเทาอาการปวดและอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ยาไดโคลฟีแนก (Diclofenac)

มียาแก้ปวดบางชนิดที่กินแล้วไม่ควรขับรถ ได้แก่

1. ยาทรามาดอล (Tramadol) เป็นยาระงับปวด กลุ่มโอพิออยด์ (Opioids) ใช้รักษาอาการปวดระดับปานกลางถึงรุนแรงชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง ยาชนิดนี้จัดเป็นยาอันตรายและเป็นยาที่จ่ายได้ภายใต้คำสั่งแพทย์เท่านั้น โดยตัวยาจะออกฤทธิ์สั่งการสมองและระบบประสาท

2. กาบาเพนทิน (Gabapentin) เป็นยารักษาอาการชัก ปลายประสาทอักเสบจากโรคงูสวัด และกลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข (Restless Legs Syndrome) โดยตัวยาจะเข้าไปจับกับตัวรับที่อยู่ในสารสื่อประสาท ทำให้อาการชักค่อย ๆ ทุเลาลง ยานี้ต้องใช้ภายใต้คำสั่งและดุลยพินิจของแพทย์เท่านั้น

ยาชนิดที่ 2 “ยาคลายกล้ามเนื้อ” ห้ามกินก่อนขับรถ จริงหรือ ?

ยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxant) ส่วนใหญ่มีผลข้างเคียงทำให้ง่วง เพราะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและสมอง มี 3 ชนิดหลัก ๆ ด้วยกัน ได้แก่

1. ยาหย่อนกล้ามเนื้อ (Neuromuscular Blocking Agents)จะออกฤทธิ์กับตัวรับอะเซทิลโคลีน (Acetylcholine) ไปกีดขวางการทำงานของสารสื่อประสาทที่มีผลต่อกล้ามเนื้อ

2. ยาคลายกล้ามเนื้อสูตรผสม (Skeletal Muscle Relaxant Combinations) ซึ่งมีส่วนผสมของยาคลายกล้ามเนื้อและยาแก้ปวดรวมกันอยู่ในเม็ดเดียว ยาจะช่วยลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อลาย ทำให้กล้ามเนื้อที่หดคลายตัวลง มักใช้รักษาภาวะกล้ามเนื้อหดตัว หรือภาวะที่เกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและกระดูก

3. ยาคลายกล้ามเนื้อหดเกร็ง (Skeletal Muscle Relaxants) เป็นยาที่ใช้ลดหรือผ่อนคลายความตึงของกล้ามเนื้อ ตัวยาจะออกฤทธิ์ปิดกั้นการทำงานของระบบประสาทสมองและไขสันหลัง ซึ่งจะลดและป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของกล้ามเนื้อจนเกิดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งหรือแข็งตัวจากการรับสารสื่อประสาท

ยาคลายกล้ามเนื้อเป็นยาที่ต้องจ่ายโดยแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น สามารถช่วยลดปวดในระดับที่มีความรุนแรงน้อยถึงปานกลางที่เกิดจากการตึงตัวของกล้ามเนื้อ แต่ไม่สามารถลดปวดที่เกิดจากสาเหตุอื่นได้ โดยมากมักใช้ในอาการปวดกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน เมื่ออาการดีขึ้นแล้วควรหยุดใช้ยาทันที และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ

ยาชนิดที่ 3 “ยาคลายกังวล” ห้ามกินก่อนขับรถ จริงหรือ ?

ยาคลายกังวล (Antianxiety Drugs) หรือยาคลายเครียด เป็นยาที่มีผลต่อระบบประสาท

ส่วนใหญ่ยาคลายกังวลใช้รักษาอาการวิตกกังวล ตื่นตระหนก การตอบสนองของร่างกายที่มากเกินไป หรือนอนไม่หลับจากโรควิตกกังวลต่าง ๆ โรคแพนิก (Panic Disorder) ภาวะวิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder) หรือโรคกลัวการเข้าสังคม (Social Anxiety Disorder)

ยากลุ่มเบนโซไดอะซีพีน (Benzodiazepine) โดยผู้ป่วยอาจรับยาร่วมกันหลายชนิด เช่น ยาที่มีผลต่อสารสื่อประสาทอย่างยาต้านเศร้าในกลุ่ม SSRI หรือ SNRI และกลุ่มยาที่ช่วยบรรเทาอาการทางร่างกายจากความวิตกกังวล โดยไม่ได้ส่งผลต่อระบบประสาทหรือสารสื่อประสาท อย่างยากลุ่มบีตาบล็อกเกอร์ (Beta-Blocker)

การใช้ยาคลายกังวลแต่ละกลุ่มอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่คล้ายกัน เช่น ง่วงซึม เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ท้องเสีย ท้องไส้ปั่นป่วน หรือน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

ยาชนิดที่ 4 “ยากล่อมประสาท” ห้ามกินก่อนขับรถ จริงหรือ ?

ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางโดยตรง ได้แก่

1. ยานอนหลับ แพทย์จ่ายให้กับผู้ที่มีปัญหาด้านการนอนหลับจากความเครียด เป็นยากลุ่มเบนโซไดอะซีพีน (Benzodiazepine) ที่จัดเป็นกลุ่มยาที่ใช้รักษาภาวะวิตกกังวล อาการชัก และโรคนอนไม่หลับ เช่น ยาลอราซีแพม (Lorazepam) ยาไดอะซีแพม (Diazepam) ยาโคลนาซีแพม (Clonazepam) และยาไทรอาโซแลม (Triazolam)

2. ยาต้านเศร้ากลุ่มไทรไซคลิก (Tricyclic Antidepressants : TCAs) แพทย์สั่งจ่ายให้ผู้ป่วยที่มีภาวะความผิดปกติทางอารมณ์ อย่างโรคซึมเศร้า เช่น ยาอะมิทริปไทลีน (Amitriptyline)

3. ยากลุ่มบีตาบล็อกเกอร์ (Beta-Blockers) เป็นยาที่ใช้รักษา ควบคุมภาวะความดันเลือดสูง และโรคหัวใจ แต่บางครั้งแพทย์อาจสั่งจ่ายยากลุ่มบีตาบล็อกเกอร์เพื่อใช้เป็นยาคลายเครียด เพราะยากลุ่มบีตาบล็อกเกอร์ออกฤทธิ์ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งบรรเทาอาการทางร่างกายที่เกิดจากความเครียด เช่น หัวใจเต้นเร็ว เสียงสั่น ตัวสั่น และเหงื่อออก เช่น ยาอะทีโนลอล (Atenolol) ยาเมโทโพรลอล (Metoprolol) และยาไบโซโพรลอล (Bisoprolol)

ยา 3 กลุ่มนี้สามารถใช้เป็นยาคลายเครียดและให้ผลลัพธ์ที่คล้ายกัน แต่กลไกการออกฤทธิ์ วิธีใช้ และข้อจำกัดของยานั้นแตกต่างกัน จึงไม่สามารถใช้ยาใดยาหนึ่งเพื่อทดแทนยาอีกชนิดได้ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอันตราย และควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

สิ่งสำคัญ ควรหลีกเลี่ยงการซื้อหรือหายาคลายเครียดมาใช้เอง ทั้งจากการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์และการขอยาจากผู้ป่วยคนอื่น

ยาชนิดที่ 5 “ยาแก้เวียนศีรษะ” ห้ามกินก่อนขับรถ จริงหรือ ?

ยาแก้เวียนศีรษะมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ได้แก่ ง่วงนอน ง่วงซึม น้ำหนักตัวมากขึ้น คลื่นไส้อาเจียน อาหารไม่ย่อย ปวดท้อง เหงื่อออกมาก อ่อนเพลีย

ชื่อสามัญของยาแก้เวียนศีรษะ คือ ฟลูนาริซีน (flunarizine) มีชื่อทางการค้าที่หลากหลาย เช่น Sibelium, Fludan, Fluricin, Poli-flunarin, Liberal, Simoyiam, Sobelin, Vanid, Vertilium เป็นต้น

ข้อบ่งใช้ยาเหล่านี้คือรักษาอาการวิงเวียน (vertigo) และป้องกันไมเกรน ตัวยาดังกล่าวสามารถเข้าไปในสมองและออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือดในสมอง และปรับระดับสารสื่อประสาทบางชนิดในสมองทำให้ป้องกันไมเกรนและลดอาการวิงเวียนศีรษะได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยาชนิดที่ 6 “ยาแก้เมารถ” ห้ามกินก่อนขับรถ จริงหรือ ?

มีคนจำนวนมากเวลาเดินทางไปไหนมาไหน (ทางบก ทางเรือ ทางอากาศ) เคยมีอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ที่เรียกอาการเหล่านี้ว่า “เมาจากการเคลื่อนไหว” (motion sickness) ซึ่งสามารถเกิดกับการโดยสารยานพาหนะได้ทุกประเภท

อาการเมาจากการเคลื่อนไหวไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน ในบางคนมีปัจจัยเสี่ยงอาจทำให้มีอาการได้มากกว่าผู้อื่น ได้แก่ เด็กอายุระหว่าง 2-12 ปี ผู้หญิงตั้งครรภ์ ใช้ยาคุมกำเนิดและกำลังมีประจำเดือน มีประวัติเป็นไมเกรนหรือเป็นโรคพาร์กินสัน มีสมาชิกในครอบครัวที่มีประวัติเมาจากการเคลื่อนไหว

วิธีหนึ่งที่ใช้ป้องกันไม่ให้เกิดอาการก็คือ “กินยาป้องกันอาการเมาจากการเคลื่อนไหว” หรือ “ยาแก้เมารถ” แบ่งตามการออกฤทธิ์ มี 2 กลุ่ม ได้แก่

1. กลุ่มยาแก้แพ้ หรือกลุ่มยาต้านฮิสทามีน (antihistamine) จะออกฤทธิ์โดยจับกับตัวรับฮิสทามีนและต้านการออกฤทธิ์ของสารสื่อประสาทอะเซทิลโคลีน (acetylcholine) ยาในกลุ่มนี้จะมีผลข้างเคียงทำให้เกิดการง่วงซึม ได้แก่ ยาไดเมนไฮดริเนต (Dimenhydrinate) ยาไซคลิซีน (Cyclizine) ยาเมคลิซีน (Meclizine)

2. กลุ่มยาต้านการออกฤทธิ์ของสารสื่อประสาทอะเซทิลโคลีน ได้แก่ สโคโพลามีน (Scopolamine) ยาไดเฟนิดอล (Diphenidol)

ยา “ป้องกันอาการเมาจากการเคลื่อนไหว” มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางทำให้เกิดอาการง่วงซึมทั้งหมด

โดยทั่วไปคนขับรถมักจะไม่มีอาการเมาจากการเคลื่อนไหว แต่คนที่มีอาการเมาจากการเคลื่อนไหวก็จะไม่ขับรถอยู่แล้ว

มียากลุ่มอื่น ๆ ที่ห้ามใช้ก่อนขับรถเช่นกัน ได้แก่ ยาสูตรผสมแก้ปวดคลายกล้ามเนื้อ ยาสูตรผสมแก้ไข้ แก้หวัด เพราะมีการใส่ยาแก้แพ้ด้วย

นอกจากนี้ ยาแก้ไอ และยาชนิดอื่น ๆ ที่เคยกินแล้วมีอาการง่วง ปัจจุบันก็ไม่ควรกินก่อนขับรถเช่นกัน เพราะสิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือการหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ

ดังนั้น ก่อนใช้ยาทุกครั้ง จะต้องอ่านฉลากยา (เอกสารกำกับยา) อย่างละเอียดและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การใช้ยาอย่างปลอดภัยกับตนเอง และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุกับผู้อื่นด้วย

สัมภาษณ์โดย พีรพล อนุตรโสตถิ์

เรียบเรียงโดย คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล

ดูเพิ่มเติมรายการ ชัวร์ก่อนแชร์ Motor Check : ยาห้ามใช้ก่อนขับรถ จริงหรือ ?

ดูข่าวเพิ่มเติม

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter

หมายเหตุ : โฆษณาที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์นี้ แสดงผลโดยอัตโนมัติจากบริษัทผู้ให้บริการโฆษณา ไม่ใช่การสนับสนุนหรือส่งเสริมจากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์แต่อย่างใด

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย