3 พฤษภาคม 2565
ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย: Science Feedback (สหรัฐอเมริกา)
แปลและเรียบเรียงบทความโดย: พีรพล อนุตรโสตถิ์, อดิศร สุขสมอรรถ
ประเภทข่าวปลอม: ข้อมูลเท็จ
บทสรุป:
เป็นข้อมูลเท็จที่อ้างโดย โรเบิร์ต มาโลน แพทย์ผู้มีประวัติเผยแพร่ข่าวปลอมเกี่ยวกับวัคซีนโควิด 19 ซึ่งบทสัมภาษณ์ที่เผยแพร่ทำให้ Spotify ถูกร้องเรียนเรื่องการเผยแพร่ข่าวปลอม
ข้อมูลที่ถูกแชร์:
มีข้อมูลเท็จเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในสหรัฐอเมริกา โดย โรเบิร์ต มาโลน แพทย์ผู้มีประวัติเผยแพร่ข่าวปลอมเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 สัมภาษณ์ผ่านรายการพอดแคส The Joe Rogan Experience ทาง Spotify เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ปี 2021 จนกระแสของรายการสร้างการโต้ตอบทางสื่อสังคมออนไลน์กว่า 51,000 ครั้ง
จากการตรวจสอบโดย Science Feedback พบว่า เนื้อหาในการให้สัมภาษณ์ตลอด 3 ชั่วโมงล้วนเป็นการบิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ทั้งสิ้น โดยคลิปรายการฉบับเต็มที่อัพโหลดทาง YouTube ถูกลบในภายหลัง
มีนักวิทยาศาสตร์และบุคลากรทางการแพทย์จำนวน 270 คน ร่วมกันร่างจดหมายเปิดผนึกไปยัง Spotify เพื่อเรียกร้องให้ Spotify มีมาตรการควบคุมการเผยแพร่ข่าวปลอมให้เข้มงวดยิ่งขึ้น และวิจารณ์การเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับโควิด-19 ของ โรเบิร์ต มาโลน
เมื่อวันที่ 29 ธันวาคมปี 2021 Twitter ได้ระงับบัญชีของ โรเบิร์ต มาโลน เป็นการถาวร ในข้อหาละเมิดนโยบายข้อห้ามด้านการเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับโควิด 19 ผ่านทาง Twitter
FACT CHECK: ตรวจสอบข้อเท็จจริง:
Science Feedback ทำการหักล้างข้อมูลเท็จที่ โรเบิร์ต มาโลน ให้สัมภาษณ์ในรายการ The Joe Rogan Experience โดยแบ่งเป็นหัวข้อดังนี้
- การบังคับฉีดวัคซีนที่อยู่ในระหว่างการทดลองเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน เป็นการละเมิดกฏนูเรมเบิร์กและข้อกำหนดของเบลมอนต์ รีพอร์ตในเวลาเดียวกัน (ข้อมูลเท็จ)
ไม่มีวัคซีนโควิด-19 ที่ใช้ในสหรัฐอเมริกาชนิดไหน เป็นวัคซีนที่อยู่ในระหว่างการทดลอง วัคซีนได้รับการยืนยันถึงประสิทธิผลและความปลอดภัย
กฏนูเรมเบิร์ก (The Nuremberg Code) บัญญัติขึ้นเมื่อปี 1947 ระหว่างการไต่สวนแพทย์ผู้เป็นสมาชิกพรรคนาซี ในข้อหาดำเนินการทดลองทางวิทยาศาสตร์กับเชลยในค่ายกักกัน ส่วน เบลมอนต์ รีพอร์ต (The Belmont Report) คือรายงานที่ร่างพร้อมกับการบัญญัติกฎหมายว่าด้วยการวิจัยแห่งชาติสหรัฐฯ เมื่อปี 1974 เนื้อหากล่าวถึงหลักจริยธรรมพื้นฐานและข้อกำหนดเกี่ยวกับการวิจัยในมนุษย์
วัคซีนโควิด-19 ผ่านการทดสอบด้านประสิทธิผลและความปลอดภัยในการทดลองทางคลินิก ก่อนจะได้รับการรับรองให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินโดยองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) ดังนั้นวัคซีนโควิด-19 จึงไม่ใช่ยาที่อยู่ในระหว่างการทดลอง การฉีดให้กับประชาชนจึงไม่เป็นการละเมิดกฏนูเรมเบิร์กและเบลมอนต์ รีพอร์ตแต่อย่างใด
- มีงานวิจัยพบว่าชาวอเมริกันครึ่งล้านคนต้องเสียชีวิตเพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ขัดขวางการใช้ยา Ivermectin และ Hydroxychloroquine รักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในระยะเริ่มต้น (พิสูจน์ไม่ได้)
โรเบิร์ต มาโลน อ้างว่าประเทศจีน, ญี่ปุ่น และอินเดีย ประสบความสำเร็จจากการใช้ยา Ivermectin และ Hydroxychloroquine รักษาผู้ป่วยโควิด 19 โดยเฉพาะรัฐอุตตรประเทศในอินเดีย ที่อ้างว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดลงอย่างรวดเร็ว หลังรัฐบาลสนับสนุนให้ใช้ยา Ivermectin รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่อาการไม่รุนแรง
อย่างไรก็ดี ในการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมขนาดใหญ่ ซึ่งมีความน่าเชื่อถืออย่างสูง ไม่พบว่าการใช้ยา Ivermectin และ Hydroxychloroquine มีประโยชน์ต่อการป้องกันหรือรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จึงไม่มีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า การใช้ยา Ivermectin คือปัจจัยที่ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในรัฐอุตตรประเทศลดลง นอกจากนี้ ราจิบ ดาสกุบตะ นักระบาดวิทยายังชี้แจงต่อเว็บไซต์ The Conversation ว่า ปัจจัยที่ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อในอินเดียลดลง น่าจะมาจากอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นและการเกิดภูมิคุ้มกันธรรมชาติจากการติดเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มประชากร
โรเบิร์ต มาโลน ยังอ้างว่ายา Ivermectin และ Hydroxychloroquine เป็นหนึ่งในยาที่มีความปลอดภัยสูงที่สุด เนื่องจากยาทั้ง 2 ชนิดถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักขององค์การอนามัยโลก (Model List of Essential Medicines)
อย่างไรก็ดี สถานะดังกล่าวจะอ้างได้ก็ต่อเมื่อตัวยาถูกใช้อย่างเหมาะสมและในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ใช้ถูกใช้ในฐานะยาต้านไวรัสสำหรับผู้ป่วยโควิด 19 โดยปัจจุบันหน่วยงานสาธารณสุข ทั้งองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) ต่างไม่แนะนำให้ใช้ยา Ivermectin และ Hydroxychloroquine รักษาผู้ป่วยโควิด 19 นอกจากเพื่อการทดลองทางคลินิก
- มีงานวิจัยกว่า 140 ชิ้นที่ยืนยันว่าภูมิคุ้มกันธรรมชาติมีประสิทธิผลเหนือภูมิคุ้มกันจากวัคซีน (ทำให้เข้าใจผิด)
หนึ่งในงานวิจัยที่ โรเบิร์ต มาโลน ยกมากล่าวอ้าง คืองานวิจัยในประเทศอิสราเอลที่พบว่า ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน มีโอกาสติดเชื้อและรักษาตัวในโรงพยาบาลเพราะโควิด-19 น้อยกว่ากลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนครบ 2 โดสถึง 13 เท่า
อย่างไรก็ดี งานวิจัยที่กล่าวอ้างยังอยู่ในสถานะงานวิจัยก่อนการตีพิมพ์ (Preprint) ซึ่งยังไม่ผ่านการประเมินความถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญในแวดวงวิชาการ และพบว่าเป็นงานวิจัยมีความลำเอียงหลายส่วน เช่น พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ฉีดวัคซีน เต็มไปด้วยกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงติดเชื้อสูง (ความลำเอียงด้านการเลือกกลุ่มตัวอย่าง) และมีการนำผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ออกไปจากกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันธรรมชาติ (ความลำเอียงด้านการคัดเลือกผู้รอดชีวิต)
แม้จะพบว่าภูมิคุ้มกันธรรมชาติจากการติดเชื้อและภูมิคุ้มกันจากวัคซีน มีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อในอนาคตทั้งคู่ แต่ความแตกต่างคือ ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนมีความปลอดภัยมากกว่าภูมิคุ้มกันธรรมชาติที่เกิดจากการติดเชื้อโดยตรง
นอกจากนี้ ข้อมูลด้านภูมิคุ้มกันวิทยายังพบว่า ผู้รับเชื้อแต่ละคนจะมีระดับภูมิคุ้มกันธรรมชาติไม่เท่ากัน มีผู้ป่วยบางคนที่หายป่วยจากโควิด-19 โดยที่ร่างกายไม่สร้างแอนติบอดีต่อไวรัสโควิด 9 เลย และยังเสี่ยงที่จะกลับมาติดเชื้ออีกครั้งในเวลาอันสั้น
งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าการฉีดวัคซีนกระตุ้นระดับภูมิคุ้มได้อย่างดี ซึ่งหน่วยงานป้องกันโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (CDC) ยังแนะนำให้ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันธรรมชาติจากการติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการฉีดวัคซีนอีกด้วย
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันธรรมชาติจากการติดเชื้อโควิด-19 มีความเสี่ยงเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีนมากกว่า (ทำให้เข้าใจผิด)
โรเบิร์ต มาโลน อ้างว่าผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 แล้วไปฉีดวัคซีน จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์หลายอย่าง ทั้งหัวใจเต้นผิดปกติ, ความดันโลหิตสูง, โรคลมหลับ, อาการขาอยู่ไม่สุข และอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งเป็นอาการที่มักพบในกลุ่มผู้รับวัคซีนที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน
แม้ข้อมูลจาก U.K. ZOE COVID หน่ายงานวิจัยในสหราชอาณาจักร จะพบว่าผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน เมื่อฉีดวัคซีนจะมีโอกาสเกิดอาการไม่พึงประสงค์มากว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า แต่อาการข้างเคียงส่วนใหญ่ไม่ใช่อาการรุนแรงเหมือนที่ โรเบิร์ต มาโลน กล่าวอ้าง อาการที่พบบ่อยคือความอ่อนล้า, ปวดศีรษะ, หนาวสั่น, ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ, และการเป็นไข้ และไม่พบรายงานการเกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรงจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลแม้แต่รายเดียว
ทอม สเปนเซอร์ ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาพันธุศาสตร์ มหาวิทยาลัย King’s College London และหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ U.K. ZOE COVID ชี้แจงว่า ถึงแม้ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 จะมีโอกาสเกิดอาการข้างเคียงจากวัคซีนมากกว่า แต่อาการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ร่างกายของผู้ที่เคยติดเชื้อตอบสนองต่อการกระตุ้นของวัคซีนได้ดีกว่า และคาดว่าจะได้รับการป้องกันที่ดีกว่า แม้จะฉีดวัคซีนแค่เข็มเดียว
สอดคล้องกับผลวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร New England Journal of Medicine ที่พบว่าผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 เมื่อฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ระดับแอนติบอดี้จะเทียบเท่าหรือสูงกว่าคนทั่วไปที่ฉีดวัคซีน mRNA ครบ 2 โดส
- อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากวัคซีน มีความรุนแรงจนผู้ป่วยต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล โอกาสเกิดสูงถึง 1 ต่อ 2,700 คน (ทำให้เข้าใจผิด)
ข้ออ้างดังกล่าว นำมาจากการศึกษาในฮ่องกงและตีพิมพ์ในวารสาร Clinical Infectious Diseases ของมหาวิทยาลัย Oxford University เป็นการศึกษาอาการหัวใจอักเสบในเยาวชนอายุ 12 ถึง 17 ปีที่รับวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท Pfizer-BioNTech
อย่างไรก็ดี ตัวเลขที่ โรเบิร์ต มาโลน กล่าวอ้าง คือโอกาสการเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในเยาวชนเพศชายหลังรับวัคซีนเข็มที่ 2 เท่านั้น ส่วนอัตราส่วนการเกิดอาการทั้งหมดจะอยู่ที่ 1 ต่อ 5,400 คน
นอกจากนี้ ตัวเลขดังกล่าวยังแตกต่างจากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขฮ่องกง ที่พบว่าอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 มีสัดส่วนเพียง 1.6 ต่อ 100,000 คน สอดคล้องกับผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกา, อิสราเอล และเดนมาร์ก ที่พบสัดส่วนอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดวัคซีนโควิด 19 เพียง 0.5 ถึง 5.7 ต่อ 100,000 คน
ส่วนข้ออ้างที่ว่าอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากวัคซีนมีความรุนแรงก็ไม่เป็นความจริง เพราะส่วนใหญ่อาการที่พบจะไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองในเวลาไม่กี่วัน นอกจากนี้ยังพบว่าการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มความเสี่ยงการเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและภาวะแทรกซ้อนทางด้านหัวใจมากกว่าการฉีดวัคซีนถึง 5 เท่า
- ลิปิดในวัคซีน mRNA จะเข้าไปอยู่ในรังไข่ และจะส่งผลต่อประจำเดือนของสตรี (ข้อมูลเท็จ)
โรเบิร์ต มาโลน อ้างว่าวัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA จะทำให้การเจริญพันธุ์ของผู้รับวัคซีนมีปัญหา โดยอ้างว่า อนุภาคนาโนของลิปิด ซึ่งทำหน้าที่ห่อหุ้มและลำเลียง mRNA เข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปอยู่ในรังไข่ของผู้หญิง ซึ่งโอกาสจะเกิดสูงถึง 11%
ข้ออ้างดังกล่าว เป็นการบิดเบือนรายงานที่ Pfizer ส่งไปให้หน่วยงานเภสัชกรรมและเครื่องมือแพทย์ (PMDA) ของประเทศญี่ปุ่นพิจารณา โดยเนื้อหาในรายงานกล่าวถึงการกระจายตัวของอนุภาคนาโนของลิปิดที่พบในเนื้อเยื่อบริเวณต่างๆ ในหนูทดลองที่ฉีดอนุภาคนาโนของลิปิดเข้าร่างกาย โดยพบว่าอนุภาคนาโนของลิปิดส่วนใหญ่จะพบแค่บริเวณที่ฉีดยา และพบการเจือปนที่รังไข่สูงสุดแค่ 0.095% เท่านั้น
แม้จะมีรายงานพบว่า ผู้หญิงหลายคนที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 มีปัญหารอบประจำเดือนมาไม่ปกติ เช่น มีอาการเลือดออกระหว่างมีประจำเดือนที่นานกว่า, มากกว่า หรือเจ็บปวดมากกว่าเดิม
ในช่วงแรก ข้อมูลด้านผลกระทบต่อประจำเดือนจากวัคซีนโควิด-19 ยังไม่เป็นที่แน่ชัด เนื่องจากข้อมูลในระหว่างการทดลองมีจำกัด
กระทั่งเดือนมกราคมปี 2022 ที่ผ่านมา มีการวิจัยที่ตีพิมพ์ทางวารสาร Obstetrics & Gynecology เป็นการศึกษารอบประจำเดือนของผู้หญิงที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 จำนวน 4,000 คน โดยใช้แอปพลิเคชันตรวจสอบภาวะเจริญพันธุ์ เพื่อเปรียบเทียบรอบการมีประจำเดือนระหว่างก่อนและหลังฉีดวัคซีน ผลปรากฏว่าหลังจากฉีดวัคซีน รอบประจำเดือนจะนานกว่าก่อนฉีดวัคซีนด้วยจำนวนเวลาไม่ถึง 1 วัน ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ
นอกจากนี้ผลการตรวจสอบความปลอดภัยของวัคซีนยังยืนยันว่า วัคซีนโควิด-19 ไม่ส่งผลต่อการเจริญพันธุ์ในเพศชายและหญิงแต่อย่างใด
- โปรตีนหนาม ทั้งจากไวรัส, อะดีโนไวรัส หรือจากวัคซีนล้วนเป็นพิษต่อร่างกาย (ข้อมูลเท็จ)
โรเบิร์ต มาโลน อ้างงานวิจัยที่พบว่า โปรตีนหนามจากวัคซีนโควิด-19 เป็นพิษต่อร่างกาย และนำไปสู่อาการไม่พึงประสงค์หลายอย่าง ทั้ง ลิ่มเลือดอุดตัน, สมองอักเสบ และภาวะภูมิต้านตนเอง เนื่องจากงานวิจัยพบว่าโปรตีนหนามปริมาณมากได้เข้าสู่กระแสเลือดของสัตว์ทดลอง
อย่างไรก็ดี อูริ มานอร์ นักชีวฟิสิกส์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิจัยจากสถาบัน Salk Institute และเจ้าของงานวิจัยที่ โรเบิร์ต มาโลน กล่าวอ้าง ชี้แจงผ่านทาง Twitter ว่า ปริมาณโปรตีนหนามที่พบในกระแสเลือดของสัตว์ทดลองเป็นผลจากการติดเชื้อไวรัส ไม่ได้เกิดจากวัคซีน ส่วนปริมาณโปรตีนหนามจากวัคซีนที่พบในกระแสเลือดของมนุษย์มีปริมาณน้อยมาก และไม่มีหลักฐานว่าโปรตีนหนามจากวัคซีน mRNA เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด
- การฉีดวัคซีน 3 เข็ม ก่อให้เกิดประสิทธิผลลบกับไวรัสโอไมครอน ผู้ฉีดเสี่ยงติดเชื้อยิ่งขึ้นจากภาวะ ADE (ทำให้เข้าใจผิด)
โรเบิร์ต มาโลน อ้างงานวิจัยจากประเทศเดนมาร์ก ที่พบว่าประสิทธิผลของวัคซีนลดลงตามจำนวนการฉีดวัคซีน และยังเชื่อมโยงประสิทธิผลที่ลดลงของวัคซีนกับภาวะ ADE หรือการเร่งโดยอาศัยแอนติบอดี (Antibody-Dependent Enhancement) ปรากฏการณ์ที่แอนติบอดี้ซึ่งทำหน้าที่ต่อต้านไวรัส กลับช่วยให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้ง่ายขึ้น ทำให้ผู้ที่มีอาการ ADE เสี่ยงต่อการป่วยหนักและเสียชีวิต
อย่างไรก็ดี งานวิจัยที่กล่าวอ้างเป็นงานวิจัยก่อนการตีพิมพ์ (Preprint) ซึ่งยังไม่ผ่านการประเมินความถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญในแวดวงวิชาการ โดย คริสเตียน โฮล์ม แฮนเซน เจ้าของงานวิจัยยืนยันว่า โรเบิร์ต มาโลน ตีความผลวิจัยไม่ถูกต้อง
ที่ผ่านมาไม่พบว่าวัคซีนโควิด 19 ก่อให้เกิดอาการ ADE ตามที่กล่าวอ้าง นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นช่วยเสริมสร้างระดับภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น แม้ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนจะทำให้ประสิทธิผลของวัคซีนลดลง แต่วัคซีนยังสามารถป้องกันการป่วยหนักจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลได้ถึง 70%
- การฉีดวัคซีนซ้ำๆ ทำให้ภูมิคุ้มกันหยุดทำงาน จากปรากฏการณ์ High Zone Tolerance (ทำให้เข้าใจผิด)
High Zone Tolerance คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันหยุดการตอบสนอง เมื่อตรวจจับแอนติเจนของเชื้อโรคในปริมาณมากและบ่อยเกินไป
มาร์โค คาวาเลรี หัวหน้าฝ่ายวางแผนวัคซีนขององค์การยาของสหภาพยุโรป (EMA) อธิบายผ่านการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 11 มกราคมปี 2022 ว่า ปรากฏการณ์ High Zone Tolerance จะเป็นที่น่ากังวลหากว่ามีการกำหนดให้ผู้คนเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นถี่เกินไป เช่นฉีดทุกๆ 4 เดือน
แต่ปัจจุบันยังไม่หลักฐานว่าการฉีดวัคซีนโควิด-19 แต่ละโดสตามระยะที่เหมาะสม จะก่อให้เกิดปรากฏการณ์ High Zone Tolerance แต่อย่างใด ซึ่ง มาร์โค คาวาเลรี ยังย้ำถึงประโยชน์ของการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อเสริมสร้างระดับภูมิคุ้มกัน
- ปาเลสไตน์ฉีดวัคซีนน้อยกว่าอิสราเอล แต่อิสราเอลเสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่า (ข้อมูลเท็จ)
ข้อมูลจาก Our World In Data เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ปี 2022 พบว่า อัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 จำนวน 1 ถึง 3 เข็มในประเทศอิสราเอลอยู่ที่ประมาณ 72%, 66%, และ 56% ส่วนอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 จำนวน 1 ถึง 3 เข็มในประเทศปาเลสไตน์อยู่ที่ 43% 31% และ 0.1%
แม้อิสราเอลจะมีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 สูงกว่าปาเลสไตน์อย่างมาก แต่การอ้างว่าอิสราเอลมีอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่าปาเลสไตน์เป็นการอ้างที่ไม่ถูกต้อง เพราะในช่วงเวลาที่โรเบิร์ต มาโลนกล่าวอ้าง ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ต่อประชากร 1 ล้านคนในปาเลสไตน์มีสูงกว่ายอดผู้เสียชีวิตในอิสราเอล
นอกจากนี้ การนำยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ใน 2 ประเทศมาเปรียบเทียบ ไม่อาจใช้เป็นหลักฐานยืนยันประสิทธิผลของวัคซีนได้ เนื่องจากมีตัวแปรหลายอย่างที่ต้องพิจารณา ทั้งด้านข้อมูลประชากรและความสามารถในการตรวจหาเชื้อ และการแจ้งยอดผู้ติดเชื้อ
- เชื้อโอไมครอนทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการไม่รุนแรง แต่แพร่เชื้อได้ง่ายและสามารถติดได้ทุกคน ไม่ว่าจะสวมหน้ากาก, เว้นระยะห่างทางสังคม หรือฉีดวัคซีนมาแล้วก็ตาม (ขาดบริบท)
แม้ผู้ติดเชื้อโอไมครอนส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง แต่ก็มีผู้ป่วยไม่น้อยที่ติดเชื้อโอไมครอนแล้วป่วยหนักจนต้องรักษาตัวโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนไม่ให้มองว่าเชื้อโอไมครอนเป็นไวรัสที่ไม่รุนแรง เพราะการติดเชื้อคราวละมากๆ อาจส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขทั่วโลก
แม้เชื้อโอไมครอนจะลดทอนประสิทธิผลการป้องกันการติดเชื้อของวัคซีน แต่ข้อมูลเบื้องต้นในประเทศแอฟริกาใต้พบว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ครบ 2 โดส ป้องกันการรักษาตัวในโรงพยาบาลและเสียชีวิตจากโควิด 19 ได้ถึง 70%
ส่วนสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพของสหราชอาณาจักร (UKHSA) เปิดเผยรายงานว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ช่วยยืดระยะเวลาป้องกันและลดการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพราะการติดเชื้อโควิด-19 ได้ถึง 90%
- คนกลัวโควิด 19 จากสภาวะ Mass Formation Psychosis (ข้อมูลเท็จ)
โรเบิร์ต มาโลน ให้ข้อสรุปในรายการ Joe Rogan Experience ว่า การตื่นกลัวของผู้คนในสังคมระหว่างการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 คือสภาวะที่เรียกว่า Mass Formation Psychosis ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อผู้คนจำนวนมากถูกชักจูงใช้เชื่อในสิ่งที่อยู่นอกเหนือเหตุและผล โดยเปรียบเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันกับประเทศเยอรมนีช่วงทศวรรษที่ 20 และ 30 เมื่อชาวเยอรมันผู้มีการศึกษา ถูกสะกดจิตให้หลงเชื่อผู้นำของชาติ นำไปสู่ยุคแห่งการเรืองอำนาจของนาซี
เจย์ แวน บาเวล รองศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาและประสาทวิทยา มหาวิทยาลัย New York University ผู้ศึกษาเรื่องเอกลักษณ์กลุ่มและพฤติกรรมหมู่มากว่า 2 ทศวรรษ ยืนยันว่า Mass Formation Psychosis ไม่จัดว่าเป็นอาการที่มีอยู่จริงในทางวิชาการ
สตีเวน เจย์ ลินน์ ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัย Binghamton University ในนิวยอร์ก ชี้แจงว่า การอ้างว่าฝูงชนสามารถถูกล่อลวงและชักจูงให้ไปทางไหนก็ได้ เป็นเพียงความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของวิธีสะกดจิตเท่านั้น
คริส คุกกิ้ง อาจารย์ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ประยุกษ์ มหาวิทยาลัย University of Brighton ชี้แจงว่า แม้จะมีหลักฐานว่า ฝูงชนสามารถถูกโน้มน้าวด้วยพฤติกรรมของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ความเชื่อที่ว่า คนจำนวนมากสามารถถูกสะกดจิตจนไม่สามารถควบคุมการกระทำของตนเองได้ เป็นแค่ความเชื่อที่ปราศจากหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุน
หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare
หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare
สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter