กรุงเทพฯ 1 ก.ค. – ผบช.น. แถลงรวบ 2 ผู้ต้องหาปล้นเงินกลางห้างดัง ตามยึดของกลางคืนแล้ว 1.9 ล้านบาท ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออีก 5 คน ขออนุมัติศาลออกหมายจับบ่ายนี้
พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงข่าวเปิดเผยความคืบหน้าการจับกุมผู้ต้องหาปล้นเงินสดจำนวน 3.4 ล้านบาท ภายในศูนย์การค้าแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าวเมื่อคืนที่ผ่านมา พร้อมระบุว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุได้แล้ว 2 ราย คือ นายเฌอพัชญ์ หรือหนาว และ น.ส.นานา โดยสามารถตามจับกุมได้ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งใน อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี เมื่อช่วงเวลา 01.00 น.ที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ยังสามารถตรวจยึดของกลางเป็นเงินสดจำนวน 1.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนแบ่งจากการกระทำความผิด เสื้อผ้าที่สวมใส่ในขณะก่อเหตุ บัญชีธนาคารและบัตร ATM รวมทั้งสิ่งของที่ได้มาจากการทำความผิดก่อนหน้านี้ของผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย
จากการสอบปากคำเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้งสองให้การยอมรับสารภาพจากการจำนวนต่อหลักฐาน โดยอ้างว่า นายเฌอพัชญ์ จะทำหน้าที่เป็น Agent หรือตัวแทนหลอกซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่ผ่านกลุ่ม Facebook ต่าง ๆ เมื่อเจอเหยื่อก็จะทำทีพูดคุย หากตกลงกันก็จะแอดไลน์และหลอกซื้อขายกัน ซึ่งในกรณีผู้เสียหายรายนี้ ได้หลอกลวงไปแล้ว 2 ครั้ง จำนวน 200,000 บาท และ 300,000 บาท เชื่อว่าเป็นการหลอกซื้อขายเพื่อให้ผู้เสียหายตายใจ ก่อนจะตกลงซื้อขายกันในราคา 3.4 ล้านบาท ที่ห้างสรรพสินค้าย่านลาดพร้าว เมื่อมาถึงก็ทำทีที่จะขอดูเงิน เมื่อพบก็มีเงินอยู่จริง ก็จะล่อลวงให้ผู้เสียหายไปที่รถและลงมือก่อเหตุ
สำหรับตัว น.ส.นานา นั้น มีพฤติการณ์ที่เห็นชัดจากภาพวงจรปิดว่า นั่งอยู่ภายในรถเก๋ง และทำหน้าที่ไปตามให้ผู้เสียหายอีกรายที่ถือกระเป๋าเงินมาขึ้นรถ ภายหลังก่อเหตุ กลุ่มผู้ก่อเหตุได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งสอง ไปส่งที่บ้านเช่าย่านประชานิเวศน์ 3 ก่อนจะแบ่งส่วนแบ่งและมอบเงินค่าแท็กซี่ให้ทั้งสองคนหลบหนีไปเช่ารีสอร์จอยู่ที่ย่าน อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เพื่อแยกย้ายและหลบหนีการจับกุม
อย่างไรก็ตาม จากของกลางที่ตรวจยึดได้จากผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ยังไม่พบอาวุธปืนแต่อย่างใด ซึ่งประเด็นเรื่องอาวุธปืนเป็นเพียงคำให้การของผู้เสียหายที่บอกว่า เห็นกลุ่มผู้ต้องหาทำท่าชักและขู่ว่ามีอาวุธปืน แต่ไม่เห็นอาวุธปืนจริง ๆ แต่อย่างใด
นอกจากนี้ ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ให้การซัดทอดไปยังผู้ร่วมกระทำความผิดอีก 5 ราย รวมผู้ก่อเหตุจำนวนทั้งสิ้น 7 ราย โดยระบุว่าตัวการใหญ่คือนายปุ่น ซึ่งได้เงินส่วนแบ่งที่เหลือไปจำนวน 1.5 ล้านบาท ทั้งหมดรู้จักกันจากการเคยร่วมกระทำความผิดร่วมกัน รวมทั้งเคยเสพยาเสพติดและเช่าพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ซึ่งขณะนี้ทางตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุเคยกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันมาก่อนหน้านี้หรือไม่ โดยคาดว่าในช่วงบ่ายวันนี้จะสามารถเร่งรัดรวบรวมพยานหลักฐานและขออำนาจศาลเพื่อออกหมายจับผู้กระทำความผิดที่เหลืออีก 5 ราย ได้ในข้อหาเดียวกัน ส่วนรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุนั้นพบว่ามี 2 คัน คาดว่าน่าจะขับหลบหนีไปทั้งคู่
เบื้องต้นพบว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจำนวน 4 ราย ที่อยู่ระหว่างการติดตามตัวนั้น เคยมีประวัติถูกดำเนินคดีทั้งลักทรัพย์ ปล้นทรัพย์และยาเสพติด ส่วนนายเฌอพัชญ์ และ น.ส.นานา พบว่าก่อนหน้านี้เพิ่งถูกออกหมายจับในท้องที่ สน.โคกคราม ในข้อหาร่วมกันกรรโชกทรัพย์มาก่อน
พล.ต.ท.สยาม เปิดเผยอีกว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นกรณีตัวอย่างที่ต้องเตือนภัยพี่น้องประชาชน เนื่องจากผู้เสียหายเลือกที่จะซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีผ่าน Agent โดยตรง โดยไม่ผ่านหน้ากระดานที่ถูกต้อง เพราะจะได้กำไรที่สูงกว่า เฉลี่ยแล้วหากซื้อขายในราคา 1 ล้านบาท จะได้กำไร 20,000 บาท ในกรณีนี้ซื้อขายมากถึง 3.4 ล้านบาท ก็ได้กำไรสูงถึง 60,000 บาท จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนว่า ให้ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีผ่านช่องทางที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกกลุ่มมิจฉาชีพมาแฝงตัวและหลอกลวงก่อให้เกิดความเสียหายเช่นกรณีนี้ได้.-415- สำนักข่าวไทย