แจงปรับเกณฑ์เบิกจ่ายผู้ป่วยโควิด “ผู้ป่วยนอก-แยกกักตัวที่บ้าน”

กทม. 6 มี.ค.- สปสช.ประชุมหน่วยบริการทั่วประเทศ ชี้แจง “การเบิกจ่ายดูแลรักษาโควิด-19” หลังปรับหลักเกณฑ์ใหม่ สอดคล้องแนวทางรักษาของกรมการแพทย์ รองรับบริการ “ผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้าน” เริ่มตั้งแต่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา ด้านที่ปรึกษากรมการแพทย์ ย้ำ กรณีตรวจ RT-PCR เฉพาะผู้ป่วยโควิดที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น

สปสช. มีการ ประชุมชี้แจงหลักเกณฑ์เงื่อนไขการเบิกจ่ายกรณีบริการดูแลรักษาโรคโควิด-19 ที่มีการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 ผ่านระบบออนไลน์ และ FB Live สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมีผู้ร่วมประชุมเกือบ 3,000 คน จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหน่วยบริการทุกระดับทั่วประเทศเข้าร่วม


พญ.นฤมล สวรรค์ปัญญาเลิศ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กรมการแพทย์ ได้มีการทบทวนและปรับแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วย ตามข้อมูลวิชาการในประเทศและต่างประเทศ เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา กำหนดให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 เมื่อตรวจ ATK กรณีมีผลบวกให้ประเมินอาการและความเสี่ยง หากไม่มีให้เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกหรือลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ Home Isolation (HI) และแยกกักตัวที่บ้านได้ ซึ่งกรณีรับการรักษาแบบผู้ป่วยนอก ระบบจะโทรติดตาอาการเมื่อครบ 48 ชั่วโมง หากมีอาการที่แย่ลงก็จะส่งต่อรักษาในโรงพยาบาล ส่วนกรณีผู้มีอาการและมีความเสี่ยง รวมถึงที่บ้านไม่มีความพร้อมในการแยกกักตัว จะเข้าสู่การดูแลในระบบ Hotel Isolation, Hospitel แล Community Isolation โดยไม่ต้องทำการตรวจ RT-PCR ซึ่งการตรวจ RT-PCR จะทำการตรวจเฉพาะในกรณีที่ต้องเข้ารักษาหรือส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล

ส่วนการให้ยารักษานั้น ย้ำว่าในกรณีผู้ป่วยไม่มีอาการหรือสบายดี จะไม่ให้ยาต้านไวรัส เช่น ยาฟาวิพิราเวียร์ เป็นต้น โดยแพทย์จะรักษาตามอาการ ให้ยาฟ้าทะลายโจร ขึ้นอยู่ตามดุลยพินิจของแพทย์ ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการ แพทย์จะพิจารณาให้ยาฟาวิพิราเวียร์ โดยเริ่มให้ยาเร็วที่สุด แต่หากมีอาการมาแล้วเกิน 5 วัน โดยผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยอาจไม่จำเป็นต้องให้ยา เพราะจากข้อมูลการรักษาพบว่าเชื้อโอไมครอน 80% ผู้ป่วยจะหายเองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน


ด้าน พญ.กฤติยา ศรีประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ตามที่กรมการแพทย์ได้มีการปรับแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ทาง สปสช.จึงทำการปรับหลักเกณฑ์การจ่ายค่าบริการเพื่อรองรับการให้บริการของหน่วยบริการ เริ่ม ณ วันที่ 1 มีนาคม 2565 ซึ่งรายการบริการต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงมีดังนี้

บริการคัดกรองโควิด-19 สำหรับคนไทยทุกสิทธิ ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงตามที่กรมควบคุมโรคกำหนด การคัดกรองก่อนทำหัตถการตามที่กรมการแพทย์กำหนด และตามดุลยพินิจแพทย์ เฉพาะดำเนินการภายในหน่วยบริการ ทั้งการตรวจแบบ RT-PCR ประเภท 2 ยืน อัตรา 900 บาท/ครั้ง และประเภท 3 ยีน อัตรา 1,100 บาท/ครั้ง การตรวจแบบ Antigen Professional ทั้งวิธี Chormatography อัตรา 250 บาท/ครั้ง และวิธี FIA อัตรา 350 บาท/ครั้ง

การสนับสนุนชุดตรวจการติดเชื้อโควิด-19 แบบ ATK สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยง ในอัตรา 55 บาท/ชุด โดยจ่ายให้กับหน่วยบริการ ซึ่งประชาชนสามารถรับชุดตรวจครั้งละไม่เกิน 2 ชุด/ครั้ง โดยตรวจเว้นระยะห่างอย่างน้อย 5 วัน และรายงานผลผ่านแอบเป๋าตัง ของธนาคารกรุงไทย


บริการดูแลรักษาโรคโควิด-19 ที่เป็นการรักษาIแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้าน (OP self Isolation) เฉพาะผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเท่านั้น ซึ่งแยกการจ่ายชดเชยค่าบริการเป็น 2 ส่วน คือ 1.ค่าบริการดูแลรักษาที่เป็นจ่ายแบบเหมาจ่าย 1,000 บาท/ราย ครอบคลุมการให้คำแนะนำแยกกักตัวที่บ้าน การให้ยารักษา การประสานติดตามอาการ และการจัดระบบส่งต่อ 2.ค่าบริการสำหรับการให้คำปรึกษาหรือการดูแลรักษาเบื้องต้นหลังครบ 48 ชั่วโมงไปแล้ว (บริการรองรับการติดต่อกลับ) เหมาจ่ายอัตรา 300 บาท/ราย

กรณีการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเช่นเดียวกับ Home Isolation และ Community Isolation (HI/CI) แบบเหมาจ่าย ทั้งกรณีรักษาในโรงพยาบาลที่เป็นหน่วยบริการในระบบ และกรณีเข้ารักษาในระบบ UCEP COVID ในหน่วยบริการนอกระบบ รวมถึงการรักษานอกโรงพยาบาล ได้แก่ HI/CI, Hotel Isolation, รพ.สนาม และ Hospitel เป็นต้น ครอบคลุมบริการดูแลผู้ติดเชื้อ ค่าอาหาร 3 มื้อ/วัน อุปกรณ์ในการดูแลและติดตามสัญญาณชีพ ค่ายา และค่าเอกซเรย์ปอด หรือ Chest X-ray กรณีจำเป็น ซึ่งการจ่ายชดเชยกรณีการให้บริการรักษาตั้งแต่ 1-6 วัน จะอยู่ที่อัตรา 4,000 บาท หากมีบริการอาหารเพิ่มเป็น 6,000 บาท และบริการรักษา 7 วันขึ้นไป อยู่ที่ 8,000 บาท หากมีบริการอาหารเพิ่มเป็น 12,000 บาท

บริการผู้ป่วยนอกที่ไม่เข้าเกณฑ์ OP self Isolation จะครอบคลุมบริการตรวจแลปและค่าเก็บตัวอย่าง ทั้ง RT-PCR, Antibody และ Antigen ค่ายาที่เป็นการรักษาเฉพาะผู้ป่วยโควิด จ่ายตามจริงไม่เกิน 7,200 บาท/ราย และค่ารถส่งต่อผู้ป่วย รวมค่าชุด PPE และ ยาฆ่าเชื้อจ่ายตามจริงตามระยะทางไม่เกิน 1,400 บาท/ครั้ง

บริการผู้ป่วยใน กำหนดจ่ายตามระบบ DRG. และจ่ายเพิ่มเติมทั้งในส่วนค่าตรวจแลป ค่ายารักษาเฉพาะผู้ป่วยโควิดไม่เกิน 7,200 บาท/ราย ค่าห้องดูแลรวมค่าอาหาร ตั้งแต่เตียงระดับ 1-3 ในอัตราตั้งแต่ 1,000-7,500 บาท ค่าชุด PPE อัตรา 550 บาท/ชุด และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับกระบวนการและอุปกรณ์ในการป้องกันเชื้อ 300-11,000 บาท/วัน และค่ารถส่งต่อผู้ป่วย รวมค่าชุด PPE และ ยาฆ่าเชื้อจ่ายตามจริงตามระยะทางไม่เกิน 1,400 บาท/ครั้ง

“การแพร่ระบาดเชื้อโอไมครอนที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น แต่ยังดีที่ผู้ป่วยอาการรุนแรงมีไม่มาก ทางกรมการแพทย์จึงได้ปรับแนวทางการรักษาตั้งแต่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา เพื่อการดูแลที่เหมาะสม สปสช.จึงร่วมกับกรมบัญชีกลาง สำนักงานประกันสังคม กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และกองเศรษฐกิจสุขภาพฯ บูรณาการเพื่อปรับระบบชดเชยค่าบริการให้สอดคล้อง นำมาสู่การประชุมในวันนี้เพื่อชี้แจงหน่วยบริการให้รับทราบ เพื่อการบริการที่ต่อเนื่อง และการเบิกจ่ายชดเชยที่ถูกต้อง” ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สปสช. กล่าว .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

“ลุงพล” นอนคุกยาว ศาลไม่ให้ประกันตัว เกรงหลบหนี

14 ส.ค. – ศาลฎีกายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ ชี้เป็นคดีร้ายแรง เกรงจะหลบหนี ส่งผลให้ลุงพลต้องนอนคุกระหว่างฎีกา นายประยุทธ เพชรคุณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 4 กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ “ลุงพล” ในคดีฆ่าเด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี รวมเป็น 26 ปี เมื่อวานนี้ ลุงพลยื่นประกันตัวและศาลจังหวัดมุกดาหารส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา เรื่องการปล่อยชั่วคราว โดยวันนี้ศาลฎีกา ได้มีคำสั่งออกมาว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อสังคมเป็นการลงโทษสถานหนัก ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษให้จำคุก 26 ปี และเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ยกคำร้องการประกันตัว ส่งผลให้จำเลยต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างฎีกา ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) เจ้าหน้าที่จะนำตัวลุงพลไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดนครพนม เนื่องจากโทษจำคุกสูง.-สำนักข่าวไทย

บุกชิงทอง

ควงปืนชิงทองกลางห้างดังย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท ขี่ จยย.หนี

สมุทรปราการ 14 ส.ค. – คนร้ายสวมชุดไรเดอร์ควงปืนจี้ชิงทอง ร้านทองกลางห้าง ย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ก่อนขี่จักรยานยนต์หลบหนี ตำรวจเร่งล่าตัว เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ เกิดเหตุอุกอาจภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดไรเดอร์ ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทองพร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวมราว 163 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เอ็นแม็ก ที่จอดอยู่ด้านหน้า ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง ให้ข้อมูลว่า เห็นคนร้ายเดินเข้ามา จึงบอกให้ถอดหมวกกันน็อก แต่คนร้ายไม่สนใจ ก่อนบุกเข้าไปก่อเหตุในร้านทอง พนักงานชายร้านทอง เล่าว่า ผู้ก่อเหตุปีนเข้ามาแล้วพูดว่า ‘หยิบทองมา’ จึงสั่งให้น้องพนักงานหมอบลงเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธปืน และไม่เคยเห็นหน้าของคนร้ายมาก่อน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจ สภ.บางบ่อ พร้อมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ เร่งไล่ล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป. – […]

เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด

กทม.14 ส.ค.- เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด อ้างอิงเหตุการณ์คลิปเสียง และพฤติการณ์ที่นิ่งเฉย ไม่กำหนดมาตรการหรือความชัดเจนตอบโต้กัมพูชาในช่วงปะทะ ไล่เลียงตั้งแต่กัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย 200 เมตร จนถึงวันปล่อยคลิปเสียง 18 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องของ 36 สว. ต่อกรณีคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลนัดวินิจฉัยคำร้องในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งในคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5) ในเนื้อหาคำร้องอ้างอิงถึงคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหาข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้ โดยสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ประการสำคัญ […]

“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ชายแดนสันติ

จีน 15 ส.ค.-“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ปัญหาชายแดนอย่างสันติ พร้อมขอบคุณที่เห็นความจำเป็นในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เห็นพ้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบรับคำเชิญของ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ในการเข้าร่วมจิบน้ำชาและหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ไทย และกัมพูชา ในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong – Lancang Cooperation) หรือ MLC ครั้งที่ 10 ณ เมืองอันหนิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายมาริษ ได้แสดงความขอบคุณต่อบทบาทที่สร้างสรรค์ของจีน ในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีต่างๆ และการบังคับใช้ให้เกิดการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยได้รับการสนับสนุนของอาเซียน พร้อมยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วน ที่ไทย-กัมพูชา ต้องร่วมมือกันในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันถึงความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล เนื่องจากเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียด และฟื้นฟูความเป็นปกติสุขในพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้ นายมาริษ ยังได้กล่าวขอขอบคุณ นายหวัง อี้ […]