บอร์ด สปสช.ไฟเขียวยืดหยุ่นให้บริการ “ผู้ป่วยแนวชายแดน-น้ำท่วม”

4 ส.ค. – บอร์ด สปสช. เห็นชอบแนวทางยืดหยุ่นให้บริการ “ผู้ป่วยแนวชายแดนไทย-กัมพูชา/อุทกภัยภาคเหนือ”


บอร์ด สปสช. เห็นชอบการปรับ “แนวทางการรับบริการและการสนับสนุนค่าบริการสาธารณสุขในระบบบัตรทอง” เพื่อยืดหยุ่นให้การดูแล “ผู้ป่วยแนวชายแดนไทย-กัมพูชา” และ “ผู้ป่วยประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ” ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภาวะฉุกเฉิน เผยข้อมูลตัวเลขผู้ป่วยได้รับผลกระทบ มีจำนวนเกือบหมื่นราย

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บอร์ด สปสช. เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 8/2568 ว่า ที่ประชุมเห็นชอบการดำเนินการของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย -กัมพูชา และสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้อย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง


นายสมศักดิ์ กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยไตวายเรื้อรังและกลุ่มผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงที่ต้องเร่งให้การดูแลโดยเร็ว ซึ่งจากข้อมูลได้รับรายงานที่ผ่านมาพบว่า มีผู้ป่วยได้รับผลกระทบแล้วจำนวน 9,119 ราย แยกเป็น ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังจำนวน 1,803 ราย และผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงจำนวน 7,316 ราย ซึ่งกระจายอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือและจังหวัดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

ทั้งนี้ บอร์ด สปสช. มีความห่วงใยประชาชนไทยทุกคนในพื้นที่สถานการณ์ภาวะฉุกเฉิน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วย ให้ความสำคัญในการดูแลเพื่อช่วยลดผลกระทบ จึงได้เห็นชอบและสนับสนุนการปรับแนวทางการเข้ารับบริการที่ยืดหยุ่น เพื่อให้ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) สามารถใช้สิทธิเข้ารับบริการในหน่วยบริการอื่นได้ทันที หากหน่วยบริการประจำไม่สามารถให้บริการได้

นอกจากนี้ ได้อนุมัติมาตรการพิเศษสำหรับการดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ต้องล้างไตผ่านช่องท้อง โดยให้ สปสช. เขตประสานงานกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด (ปณด) เพื่อเพิ่มการจัดส่งน้ำยาล้างไตสำรอง (Buffer) ไปยังหน่วยบริการที่อยู่ใกล้กับที่พักของผู้ที่ต้องอพยพ และเตรียมแผนรองรับการจัดส่งในเดือนถัดไปหากผู้ป่วยยังไม่สามารถกลับภูมิลำเนาได้ รวมถึงให้ สปสช. ประสานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่เพื่อติดตามดูแล เรื่องสุขภาพจิตของประชาชน


ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการเข้ารับบริการและการสนับสนุนค่าใช้จ่ายค่าบริการสาธารณสุขในสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินฯ ที่บอร์ด สปสช. รับทราบมีรายละเอียด ดังนี้ การเข้ารับบริการของผู้มีสิทธิบัตรทอง ในกรณีผู้มีสิทธิบัตรทองไม่สามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการประจำได้ เนื่องจากหน่วยบริการปิดหรือต้องอพยพ สามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการอื่นได้ทั้งในและนอกจังหวัด โดยหน่วยบริการที่ให้การรักษาสามารถเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการได้ตามหลักเกณฑ์ ส่วนการให้บริการด้านยาและเวชภัณฑ์ ตามประกาศสำนักงานฯ เกี่ยวกับการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข ในกรณีของผู้ป่วยที่ต้องได้รับยาต่อเนื่องและมีความจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนยาตามความเหมาะสม ให้หน่วยบริการสามารถใช้ดุลยพินิจพิจารณาตามข้อตกลงในระดับพื้นที่ได้

การดูแลผู้ป่วยเฉพาะกลุ่ม กรณีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ต้องฟอกเลือด หากต้องไปรับบริการฟอกไตในพื้นที่ปลอดภัย หน่วยบริการฟอกไตที่รองรับสามารถเพิ่มจำนวนการให้บริการได้เกินกว่าที่ สปสช. กำหนดได้ โดยแจ้งข้อมูลศักยภาพการให้บริการไปยังหน่วยงานที่มีอำนาจพิจารณา

ส่วนผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงสิทธิบัตรทองที่ไม่สามารถเข้ารับบริการตามแผนงานฯ การดูแลรายบุคคลเดิมภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่น (กปท.) ติดต่อขอรับบริการได้ที่หน่วยบริการอื่น โดยให้หน่วยบริการรับค่าใช้จ่ายฯ จากสำนักงานฯ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขในแต่ละประเภทบริการที่เข้ารับการดูแลรักษา ในแต่ละประเภทบริการ การประสานงานและการสนับสนุน โดย อปท. สามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินโครงการหรือกิจกรรมในสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินที่เกิดขึ้นได้ โดยถือเป็นกรณีภัยพิบัติตามความจำเป็น รวมถึงการจัดบริการพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ การสนับสนุนผ้าอ้อมและแผ่นรองซับขับถ่าย โดยเป็นไปตามประกาศหลักเกณฑ์ฯ กปท.

นอกจากนี้ในส่วนการแสดงตนยืนยันสิทธิเมื่อสิ้นสุดการรับบริการ ให้หน่วยบริการใช้วิธีการยืนยันตัวตนโดยคำนึงถึงความสะดวกและความจำเป็นของผู้รับบริการ หากมีเหตุจำเป็นที่ไม่อาจดำเนินการได้ ให้แจ้งเหตุความไม่สะดวกในการดำเนินการเป็นรายกรณี สำหรับการติดต่อประสานงาน สามารถติดต่อผ่าน สปสช. เขต หรือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่ในพื้นที่จังหวัด

สำหรับข้อมูลผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากสถานณ์ภาวะฉุกเฉิน แยกเขตพื้นที่ดังนี้ พื้นที่เขต 1 เชียงใหม่ ซึ่งเกิดสถานการณ์อุทกภัย มีรายงานผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้ จ.น่าน จำนวน 305 ราย จ.พะเยา จำนวน 161 ราย จ.แพร่ จำนวน 203 ราย และ จ.เชียงราย จำนวน 253 ราย โดยในส่วนผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงนั้น ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ของแต่ละพื้นที่สามารถบริหารจัดการได้ทำให้ไม่มีผลกระทบ

ส่วนในพื้นที่สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเกิดความไม่สงบมาตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมานั้น ในพื้นที่เขต 6 ระยอง มีรายงานผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจำนวน 273 ราย โดยแยกข้อมูลรายจังหวัด ที่ จ.สระแก้ว มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้รับผลกระทบ จำนวน 63 ราย ผู้มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 16 ราย, จ.จันทบุรี มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้รับผลกระทบ จำนวน 76 ราย ผู้มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 47 ราย และตราด มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้รับผลกระทบ จำนวน 17 ราย ผู้มีภาวะพึ่งพง จำนวน 54 ราย

ส่วนพื้นที่เขต 9 นครราชสีมา มีรายงานผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 7,643 ราย โดย จ.สุรินทร์ มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้รับผลกระทบ จำนวน 478 ราย ผู้มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 4,968 ราย และ จ.บุรีรัมย์ มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้รับผลกระทบ จำนวน 133 ราย ผู้มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 2,064 ราย และพื้นที่เขต 10 อุบลราชธานี มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้รับผลกระทบ จำนวน 52 ราย ผู้มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 49 ราย และ จ. ศรีษะเกษ มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้รับผลกระทบ จำนวน 62 ราย ผู้มีภาวะพึงพิง จำนวน 118 ราย.-417-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 หวัง GBC ได้ข้อสรุปที่ดี ลั่นไม่ถอยกำลังทหาร

กองทัพบก 4 ส.ค. – แม่ทัพภาค 2 ลั่น ไม่ถอยกำลังทหาร หวังถก GBC ได้ข้อสรุปที่ดี แต่ยังคาดหวังอะไรไม่ได้หากสองประเทศยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกันก็จบง่าย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่ก็คาดหวังว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี หาข้อตกลงร่วมกันให้ดีที่สุด ส่วนที่หลายฝ่ายมีความกังวลสถานการณ์ชายแดน หลังวันที่ 7 สิงหาคม จะมีความตึงเครียดนั้น พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้นำทั้งสองประเทศ จะเจอกันตรงจุดไหน หากยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกัน ก็จบง่าย ซึ่งตอนนี้ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ ว่าผลจะออกมาอย่างไร เมื่อถามว่า ประเด็นเรื่องการถอนกำลัง พล.ท.บุญสิน ยืนยันว่า “กองทัพไม่ถอย เพราะเรารุกในเขตพื้นที่อธิปไตยของเรา” สำหรับการดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพทั้งสองประเทศได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการหยุดยิง ที่สองรัฐบาลได้พูดคุยกันไว้เพื่อความสงบสุขบริเวณชายแดน ซึ่งเราพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ยอมรับว่า มีปัญหาเรื่องโดรนไม่ทราบฝ่าย ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น รวมถึงการติดตามกลุ่มบุคคลที่ทำตัวเป็นสายลับ และไส้ศึก […]

สำนักโฆษก กห. พาย้อนเหตุการณ์ยุคเขมรแดงปี 1979-1980

4 ส.ค.- เตือนความจำเขมร! สำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม โพสต์ย้อนเหตุการณ์ไทยช่วยเขมร ยุคเขมรแดง ปี 1979-1980 เปิดประตูรับคนเขมรเป็นที่พึ่งสุดท้าย-เปิดค่ายพักพิงแบบไม่ลังเล วันนี้(4 ส.ค.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจสำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม ได้เผยแพร่ข้อมูลการช่วยเหลือของฝ่ายไทยที่มีต่อชาวกัมพูชาในยุคเขมรแดง โดยข้อความระบุว่า จากคนที่หนีตายสู่คนที่หันปากกระบอกปืนกลับมา” เมื่อ ‘เขมร’ ลืมทุกอย่างที่ไทยเคยมอบให้ ปี 𝟏𝟗𝟕𝟗… ชาวกัมพูชานับแสน นับล้าน วิ่งหนีตายจากนรกบนดินที่ชื่อว่า “เขมรแดง” ข้ามพรมแดนมายังไทย ในสภาพหมดเรี่ยวแรง หิวโหย และเกือบสิ้นลมหายใจ คนไทยเปิดประตูให้เขาพักพิง ตอนนั้นประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียง “เพื่อนบ้าน” แต่กลายเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” เราส่งอาหาร เราเปิดค่ายพักพิง เราช่วยเหลือทั้งในนามรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และแม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ยอมแบ่งข้าวเพียงคำเดียวให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา การอพยพที่ไม่มีแผนที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 𝟏𝟗𝟕𝟗 จนถึงต้นยุค 𝟏𝟗𝟖𝟎𝐬 มีชาวกัมพูชาจำนวนมหาศาล บางแหล่งบอกว่ารวมกันถึง 𝟔 แสนถึง 𝟖 แสนคน อพยพอย่างไร้ทิศทางบางคนเดินเท้าเป็นร้อยกิโลเมตรจากกลางประเทศกัมพูชา หลายคนไร้เอกสาร ไม่มีอาหาร ไม่มีเป้าหมาย […]

กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ

ก.ต่างประเทศ 4 ส.ค.-กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คาดแจงข้อมูลที่บิดเบือน หลังกัมพูชาปล่อยเฟคนิวส์ต่อเนื่อง ด้าน “มาริษ” ย้ำไทยไม่ได้เริ่มก่อน ยึดแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี เรียกร้องกัมพูชายึดหลักสันติวิธี-จริงใจ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมกับ นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และ นางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงภายหลังจากที่ฝ่ายกัมพูชามีการให้ข้อมูลที่บิดเบือนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก่อนการบรรยาย นายมาริษ กล่าวเปิดโดยขอบคุณผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยายในวันนี้ พร้อมชี้แจงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และท่าทีของไทยต่อกรณีดังกล่าว โดยตนตั้งใจจะแบ่งการบรรยายเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ 1. การเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไทยขอประท้วงต่อฝ่ายกัมพูชากรณีที่ละเมิดกฎหมายมนุษยชนและใช้ความรุนแรง โดยมีเป้าหมายแบบไม่เลือกเป้าและโจมตีไปที่พลเรือน รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งขัดต่อหลักการของอนุสัญญาออตโตวา ในขณะที่ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด จึงหวังเป็นอย่างยิ่งให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน ภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ส่วนประเด็นที่ 2 คือการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม […]

EOD ทำลายวัตถุระเบิด ใกล้ปั๊มน้ำมันบ้านผือ จ.ศรีสะเกษ 

ศรีสะเกษ 4 ส.ค. – เจ้าหน้าที่อีโอดีเก็บกู้จรวด BM 21 ที่กัมพูชายิงเข้ามาตกและฝังอยู่ในพื้นถนนกันทรลักษ์อีกจุด ใกล้กับปั๊มน้ำมันที่ถูกกัมพูชายิงใส่วันที่ 24 ก.ค. เช่นเดียวกัน บรรยากาศตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บวัตถุระเบิดหรือ EOD จากตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ตำรวจ ตชด.ที่22 อุบลราชธานี และเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย หรือ TMAC เข้าเตรียมความพร้อมเพื่อเก็บกู้ทำลายวัตถุระเบิดแรงสูง ประเภท BM21 ที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่ แล้วตกลงไปฝังอยู่ในถนน กันทรลักษ์-เขาพระวิหาร ในพื้นที่ อำเภอกันทรลักษ์ เป็นจรวด BM 21 ที่ถูกยิงมาในวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ร้านสะดวกซื้อภายในปั๊ม ปตท. บ้านผือ ระเบิดจุดนี้ อยู่ห่างจากปั๊ม ปตท. บ้านผือ ประเมาณ 500 เมตร และห่างจากจุดที่มีการเก็บกู้ จรวดบีเอ็ม 21 บนถนนกันทรลักษ์ลูกแรก ในวันที่ 2 สิงหาคม […]